ขอสดุดีดวงวิญญาณน้องสุวิทย์
(ว่าด้วยความทรงจำและการระลึกถึง)
สม ศักดิ์ โกศัยสุข
ผู้บรรจงชีวิต แด่ชนชั้นผู้ยากไร้
ผมผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่า 62 ปี ได้ศึกษาฝึกฝนผ่านประสบการณ์จริง ที่ทำความเข้าใจ เรื่องโลกทัศน์ ชีวทัศน์ ถึงสัจธรรมแห่งชีวิตของมนุษย์มาพอสมควร และเคยสูญเสียมิตรสหายร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ รวมทั้งบิดา มารดา ฐาติ พี่น้องและบุตร และเข้าใจถ่องแท้ว่า การเกิดแก่เจ็บตายย่อมเป็นอนิจจัง และเกิดขึ้นกับทุกชีวิต ทุกเพศ ทุกวัย ทุกเวลา โดยไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ และแล้วมันก้เกิดขึ้นอีกครั้งกับน้องสุวิทย์ วัดหนู ในช่วงที่กำลังมีวาระสำคัญในการยกระดับการต่อสู้เพื่อผู้ยากไร้ น้อง สุวิทย์ ได้จากขบวนการต่อสู้ของชนชั้นผู้ยากไร้อย่างไม่มีวันกลับ
เมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ประมาณตีหนึ่งของคืนวันที่ 11 มีนาคม 2550 ปลุกให้ผมตื่นขึ้นหลังจากล้มตัวลงนอนประมาณ 30 นาที เมื่อกดรับ เสียงสุริยะใสกรอกเข้าหู พี่สมศักดิ์ครับพี่สุวิทย์ตายแล้ว ผมยังคิดว่าเป็นการล้อเล่น เพราะตลอดเวลา 20 ปี ที่ผมใกล้ชิดกับน้องสุวิทย์ เขาไม่เคยบ่นหรือแสดงอาการอ่อนแอ เกี่ยวกับสุขภาพความเจ็บป่วยให้ผมได้ยินแม้แต่ครั้งเดียว ในระยะหลังเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา เขาเพียงบ่นเป็นห่วงสุขภาพของน้องวรรณ ศรีภรรยาที่แสนดีของเขาเท่านั้นและบางครั้งต้องขอตัวไปรับไปส่งภรรยา ในการไปกลับจากการทำงานที่มูลนิธิดวงประทีป
การจากไปอย่างกระทันหัน และรวดเร็วกว่าที่มิตรสหายจะคาดคิดถือเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง หนึ่งของขบวนการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและความเป็นธรรมของชนชั้นผู้ถูกกด ขี่ขูดรีด
ผมขอสารภาพว่า ที่แท้ ผมก็คือปุถุชนธรรมดา ที่รู้สึกสะเทือนใจ และตอกย้ำความรู้สึกเจ็บปวดของคนที่ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม มันลึกลับซับซ้อนเหลือเกิน สำหรับผู้ที่อุทิศตนอย่างแน่วแน่ ต่อสู้เพื่อชนชั้นผู้ยากไร้ที่ต้องสูญเสียกำลังสำคัญในสถานการณ์ที่ขบวนการ ต่อสู้มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องมีนักสู้ที่ผ่านประสบการณ์ มีจุดยืนหนักแน่นเหมือนภูผา เฉกเช่นน้องสุวิทย์ วัดหนู
น้องสุวิทย์คือผู้ที่มีบทบาทอันสำคัญยิ่งที่เขาทำงานเหมือนปิดทองหลังพระมา โดยตลอด ไม่เคยโชว์ฟอร์ม อยากเด่น อยากดัง และแสวงหาผลประโยชน์ในทุกด้าน ทั้งที่เขามีความสามารถสูงกว่าบุคคลที่สังคมรู้จักผิวเผินหลายคน ในแวดวงสังคมนักต่อสู้ในปัจจุบัน เขาเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะในแวดวงของผู้ทุกข์ยาก ไม่ว่าพี่น้องชุมชนสลัม คนไร้บ้าน กรรมกร ชาวนา ปัญญาชน และองค์กรพัฒนาเอกชน ทั้งระดับประเทศ และระดับระหว่างประเทศ
ในสถานการณ์ก่อนเสียชีวิต เขารับบทบาทสำคัญที่ทำหน้าที่ประสานกับทุกฝ่าย เพื่อยกระดับการต่อสู้ของประชาชนผู้ยากไร้ ล่าสุดน้องสุวิทย์ได้รายงานข้อมูลต่างๆให้ผมทราบก่อนเสียชีวิตประมาณ 3 สัปดาห์ เกี่ยวกับภารกิจในการประสานงานมวลชน เพื่อยกระดับการต่อสู้ทางการเมือง น้องสุวิทย์มีความสามารถสูง มีความคิดแหลมคมในการพูดคุยทางวิชาการและเมื่อมีการประชุมเพื่อเคลื่อนไหว ของมวลชน และในการต่อสู้จริงในภาคสนาม ทั้งในเมืองและชนบท
ในเหตุการณ์ พฤษภาคม 2535 ในการต่อสู้ขับไล่เผด็จการ รสช. เขาคือเพื่อนเป็นเพื่อนตายของผมตลอดเวลาของการเคลื่อนไหวที่ต้องตัดสินร่วม กันทุกครั้ง และเราจะยืนคู่กันเสมอในยามวิกฤติ และไม่แตกต่างกันในเหตุการณ์ขับไล่ระบอบทักษิณ ที่ขบวนการประชาชนได้เข้าร่วมจัดตั้งองค์การพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2549 น้องสุวิทย์ต้องรับบทบาทอันหนักหน่วงคือ การประสานงานโฆษกบนเวที และการควบคุมมวลชน และเข้ามารับบทบาท ในช่วงตี 2 ตี 3 เป็นประจำของการชุมนุมแต่ละครั้ง จนกระทั่ง คปค.ได้ทำการยึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณ วันที่ 19 กันยายน 2549 ก่อนที่พันธมิตรจะจัดชุมนุมใหญ่ยืดเยื้อในวันที่ 20 กันยายน 2549
น้องสุวิทย์ ได้เปรยกับผมว่า "ครั้งนี้ต้องเตรียมกำลังให้ดีอาจถูกปราบปรามได้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เพราะเราไม่สามารถทิ้งประชาชนได้" ภายหลังจากได้ร่วมกันประชุมวิเคราะห์สถานการณ์ครั้งสุดท้าย ก่อนการจัดการชุมนุม 7 วัน
นี่คือจุดยืนอันยิ่งใหญ่ในดวงใจของเขา ตลอดเวลาที่ทำงานใกล้ชิดกัน 20 ปี การดำรงชีวิตของน้องสุวิทย์ คงเส้นคงวา เขามีสัมมาคารวะอย่างสูงต่อคนทั่วไป สุภาพอ่อนโยน รักเพื่อนฝูง วิพากษ์วิจารณ์มิตรสหายตรงไปตรงมาซึ่งหน้าเสมอ มีวินัยสูงในการทำงานกับมวลชน รับผิดชอบสูงมาก รักครอบครัว ไม่เคยมีความประพฤติเสื่อมเสียในทุกๆด้าน มีความเป็นสุภาพบุรุษและเก็บความรู้สึกได้อย่างยอดเยี่ยม บางครั้งเขาถูก NGOs สายแรงงานบางคนทรยศหักหลัง น้องสุวิทย์ไม่เคยกล่าววาจาโจมตีบุคคลเหล่านั้น เขาเพียงเล่าความจริงให้ผมฟังและสรุปว่าพี่อย่าไปรู้มันเลย ขอให้รู้ว่าคนคนนี้ใช้ไม่ได้ นี่คือคำพูดที่ถือว่ารุนแรงแล้วสำหรับเขาที่ผมเคยได้ยิน
วันที่ 24 ธันวาคม 2549 สถานีวิทยุเสียงกรรมกร Worker' Radio Fm 98.25 MHz. ได้จัดกิจกรรมสมานฉันท์ระหว่างพันธมิตรทั้งหลายรวมทั้งพี่น้องสื่อมวลชน กรรมกร พี่น้องสลัม 4 ภาค ครป. กลุ่มเพื่อนประชาชน ฯลฯ แข่งกีฬากระชับความสัมพันธ์ และผ่อนคลายความเครียด ณ สนามสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟฯ เนื่องในโอกาสเปิดสถานีวิทยุครบรอบ 6 เดือน
น้องสุวิทย์ได้ร่วมเล่นฟุตบอล ตกกลางคืนก็มีการสังสรรค์กันแบบวิถีชีวิตของคนจน นั่งรวมกันที่บริเวณสนามบาสเกตบอล น้องสุวิทย์ได้พูดกับผมว่า "วันนี้ผมมีความสุขมากที่มานั่งสังสรรค์กันที่สนามบาสเกตบอล ทำให้ผมนึกถึงบรรยากาศในอดีตขณะเข้าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศ ไทยในเขตป่าเขา ขณะนั้นเมื่อมีการออกกำลังกาย เล่นบาสเกตบอล ก็จะนั่งสังสรรค์กับสหายคล้ายกับบรรยากาศในวันนี้"
เขาสบตาผมด้วยแววตาเป็นประกาย ใบหน้าแดงระเรื่อดูมีความสุข และอิ่มเอิบ นี่คือความสุขเล็กๆน้อยๆช่วงสั้นๆ ที่น้องสุวิทย์แสดงให้ปรากฎ แต่ความคาดหวังของน้องสุวิทย์คือ เขาอยากเห็นสังคมที่ยุติธรรม สังคมที่ไม่มีการกดขี่ขูดรีด มีทั้งภราดรภาพ เสรีภาพ และเสมอภาค เขาจึงกำหนดวิถีชีวิตของเขาเพื่อผู้ยากไร้ จนกระทั่งวาระสุดท้ายแห่งชีวิต น้องสุวิทย์ทำดีไว้มาก มีบุญญาบารมี แม้วิธีการลาโลกของน้องสุวิทย์ก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใครทั้งสิ้น และยังทำหน้าที่งดงามต่อภรรยาอันเป็นที่รักของเขา ขอสดุดีดวงวิญญาณของน้องจงไปสู่สุขคติ ในสัมปรายภพเถิด ขอฝากมิตรสหายทั้งหลายที่ยังมีชีวิตอยู่ หากรักและศรัทธาน้องสุวิทย์ จงคิดสามัคคีกันต่อสู้เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ อุดมการณ์น้องสุวิทย์อย่างจริงจังต่อไป นี้คือการแสดงความรักที่แท้จริงต่อมิตรที่รักและศรัทธา
ด้วยจิตคารวะ
ที่มา สุวิทย์ วัดหนู นักรบประชา เคียงข้างคนจน
คณะ จัดทำหนังสืออนุสรณ์แห่งชีวิต สุวิทย์ วัดหนู
วันที่ 20 ธันวาคม 2495 - วันที่ 11 มีนาคม 2550