วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551

ขอสดุดีดวงวิญญาณน้องสุวิทย์ by สม ศักดิ์ โกศัยสุข

ขอสดุดีดวงวิญญาณน้องสุวิทย์
(ว่าด้วยความทรงจำและการระลึกถึง)

สม ศักดิ์ โกศัยสุข

ผู้บรรจงชีวิต แด่ชนชั้นผู้ยากไร้
            ผมผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่า 62 ปี ได้ศึกษาฝึกฝนผ่านประสบการณ์จริง ที่ทำความเข้าใจ เรื่องโลกทัศน์ ชีวทัศน์ ถึงสัจธรรมแห่งชีวิตของมนุษย์มาพอสมควร และเคยสูญเสียมิตรสหายร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ รวมทั้งบิดา มารดา ฐาติ พี่น้องและบุตร และเข้าใจถ่องแท้ว่า การเกิดแก่เจ็บตายย่อมเป็นอนิจจัง และเกิดขึ้นกับทุกชีวิต ทุกเพศ ทุกวัย ทุกเวลา โดยไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ และแล้วมันก้เกิดขึ้นอีกครั้งกับน้องสุวิทย์ วัดหนู ในช่วงที่กำลังมีวาระสำคัญในการยกระดับการต่อสู้เพื่อผู้ยากไร้ น้อง สุวิทย์ ได้จากขบวนการต่อสู้ของชนชั้นผู้ยากไร้อย่างไม่มีวันกลับ

            เมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ประมาณตีหนึ่งของคืนวันที่ 11 มีนาคม 2550 ปลุกให้ผมตื่นขึ้นหลังจากล้มตัวลงนอนประมาณ 30 นาที เมื่อกดรับ เสียงสุริยะใสกรอกเข้าหู พี่สมศักดิ์ครับพี่สุวิทย์ตายแล้ว ผมยังคิดว่าเป็นการล้อเล่น เพราะตลอดเวลา 20 ปี ที่ผมใกล้ชิดกับน้องสุวิทย์ เขาไม่เคยบ่นหรือแสดงอาการอ่อนแอ เกี่ยวกับสุขภาพความเจ็บป่วยให้ผมได้ยินแม้แต่ครั้งเดียว ในระยะหลังเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา เขาเพียงบ่นเป็นห่วงสุขภาพของน้องวรรณ ศรีภรรยาที่แสนดีของเขาเท่านั้นและบางครั้งต้องขอตัวไปรับไปส่งภรรยา ในการไปกลับจากการทำงานที่มูลนิธิดวงประทีป

            การจากไปอย่างกระทันหัน และรวดเร็วกว่าที่มิตรสหายจะคาดคิดถือเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง หนึ่งของขบวนการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและความเป็นธรรมของชนชั้นผู้ถูกกด ขี่ขูดรีด
            ผมขอสารภาพว่า ที่แท้ ผมก็คือปุถุชนธรรมดา ที่รู้สึกสะเทือนใจ และตอกย้ำความรู้สึกเจ็บปวดของคนที่ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม มันลึกลับซับซ้อนเหลือเกิน สำหรับผู้ที่อุทิศตนอย่างแน่วแน่ ต่อสู้เพื่อชนชั้นผู้ยากไร้ที่ต้องสูญเสียกำลังสำคัญในสถานการณ์ที่ขบวนการ ต่อสู้มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องมีนักสู้ที่ผ่านประสบการณ์ มีจุดยืนหนักแน่นเหมือนภูผา เฉกเช่นน้องสุวิทย์ วัดหนู

            น้องสุวิทย์คือผู้ที่มีบทบาทอันสำคัญยิ่งที่เขาทำงานเหมือนปิดทองหลังพระมา โดยตลอด ไม่เคยโชว์ฟอร์ม อยากเด่น อยากดัง และแสวงหาผลประโยชน์ในทุกด้าน ทั้งที่เขามีความสามารถสูงกว่าบุคคลที่สังคมรู้จักผิวเผินหลายคน ในแวดวงสังคมนักต่อสู้ในปัจจุบัน  เขาเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะในแวดวงของผู้ทุกข์ยาก ไม่ว่าพี่น้องชุมชนสลัม คนไร้บ้าน กรรมกร ชาวนา ปัญญาชน และองค์กรพัฒนาเอกชน ทั้งระดับประเทศ และระดับระหว่างประเทศ

            ในสถานการณ์ก่อนเสียชีวิต เขารับบทบาทสำคัญที่ทำหน้าที่ประสานกับทุกฝ่าย เพื่อยกระดับการต่อสู้ของประชาชนผู้ยากไร้ ล่าสุดน้องสุวิทย์ได้รายงานข้อมูลต่างๆให้ผมทราบก่อนเสียชีวิตประมาณ 3 สัปดาห์ เกี่ยวกับภารกิจในการประสานงานมวลชน เพื่อยกระดับการต่อสู้ทางการเมือง น้องสุวิทย์มีความสามารถสูง มีความคิดแหลมคมในการพูดคุยทางวิชาการและเมื่อมีการประชุมเพื่อเคลื่อนไหว ของมวลชน และในการต่อสู้จริงในภาคสนาม ทั้งในเมืองและชนบท

            ในเหตุการณ์ พฤษภาคม 2535 ในการต่อสู้ขับไล่เผด็จการ รสช. เขาคือเพื่อนเป็นเพื่อนตายของผมตลอดเวลาของการเคลื่อนไหวที่ต้องตัดสินร่วม กันทุกครั้ง และเราจะยืนคู่กันเสมอในยามวิกฤติ และไม่แตกต่างกันในเหตุการณ์ขับไล่ระบอบทักษิณ ที่ขบวนการประชาชนได้เข้าร่วมจัดตั้งองค์การพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2549 น้องสุวิทย์ต้องรับบทบาทอันหนักหน่วงคือ การประสานงานโฆษกบนเวที และการควบคุมมวลชน และเข้ามารับบทบาท ในช่วงตี 2 ตี 3 เป็นประจำของการชุมนุมแต่ละครั้ง จนกระทั่ง คปค.ได้ทำการยึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณ วันที่ 19 กันยายน 2549 ก่อนที่พันธมิตรจะจัดชุมนุมใหญ่ยืดเยื้อในวันที่ 20 กันยายน 2549

            น้องสุวิทย์ ได้เปรยกับผมว่า "ครั้งนี้ต้องเตรียมกำลังให้ดีอาจถูกปราบปรามได้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เพราะเราไม่สามารถทิ้งประชาชนได้" ภายหลังจากได้ร่วมกันประชุมวิเคราะห์สถานการณ์ครั้งสุดท้าย ก่อนการจัดการชุมนุม 7 วัน

            นี่คือจุดยืนอันยิ่งใหญ่ในดวงใจของเขา ตลอดเวลาที่ทำงานใกล้ชิดกัน 20 ปี การดำรงชีวิตของน้องสุวิทย์ คงเส้นคงวา เขามีสัมมาคารวะอย่างสูงต่อคนทั่วไป สุภาพอ่อนโยน รักเพื่อนฝูง วิพากษ์วิจารณ์มิตรสหายตรงไปตรงมาซึ่งหน้าเสมอ มีวินัยสูงในการทำงานกับมวลชน รับผิดชอบสูงมาก รักครอบครัว ไม่เคยมีความประพฤติเสื่อมเสียในทุกๆด้าน มีความเป็นสุภาพบุรุษและเก็บความรู้สึกได้อย่างยอดเยี่ยม บางครั้งเขาถูก NGOs สายแรงงานบางคนทรยศหักหลัง น้องสุวิทย์ไม่เคยกล่าววาจาโจมตีบุคคลเหล่านั้น เขาเพียงเล่าความจริงให้ผมฟังและสรุปว่าพี่อย่าไปรู้มันเลย ขอให้รู้ว่าคนคนนี้ใช้ไม่ได้ นี่คือคำพูดที่ถือว่ารุนแรงแล้วสำหรับเขาที่ผมเคยได้ยิน

            วันที่ 24 ธันวาคม 2549 สถานีวิทยุเสียงกรรมกร Worker' Radio Fm 98.25 MHz. ได้จัดกิจกรรมสมานฉันท์ระหว่างพันธมิตรทั้งหลายรวมทั้งพี่น้องสื่อมวลชน กรรมกร พี่น้องสลัม 4 ภาค ครป. กลุ่มเพื่อนประชาชน ฯลฯ แข่งกีฬากระชับความสัมพันธ์ และผ่อนคลายความเครียด ณ สนามสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟฯ เนื่องในโอกาสเปิดสถานีวิทยุครบรอบ 6 เดือน

            น้องสุวิทย์ได้ร่วมเล่นฟุตบอล ตกกลางคืนก็มีการสังสรรค์กันแบบวิถีชีวิตของคนจน นั่งรวมกันที่บริเวณสนามบาสเกตบอล น้องสุวิทย์ได้พูดกับผมว่า "วันนี้ผมมีความสุขมากที่มานั่งสังสรรค์กันที่สนามบาสเกตบอล ทำให้ผมนึกถึงบรรยากาศในอดีตขณะเข้าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศ ไทยในเขตป่าเขา ขณะนั้นเมื่อมีการออกกำลังกาย เล่นบาสเกตบอล ก็จะนั่งสังสรรค์กับสหายคล้ายกับบรรยากาศในวันนี้"

            เขาสบตาผมด้วยแววตาเป็นประกาย ใบหน้าแดงระเรื่อดูมีความสุข และอิ่มเอิบ นี่คือความสุขเล็กๆน้อยๆช่วงสั้นๆ ที่น้องสุวิทย์แสดงให้ปรากฎ แต่ความคาดหวังของน้องสุวิทย์คือ เขาอยากเห็นสังคมที่ยุติธรรม สังคมที่ไม่มีการกดขี่ขูดรีด มีทั้งภราดรภาพ เสรีภาพ และเสมอภาค เขาจึงกำหนดวิถีชีวิตของเขาเพื่อผู้ยากไร้ จนกระทั่งวาระสุดท้ายแห่งชีวิต น้องสุวิทย์ทำดีไว้มาก มีบุญญาบารมี แม้วิธีการลาโลกของน้องสุวิทย์ก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใครทั้งสิ้น และยังทำหน้าที่งดงามต่อภรรยาอันเป็นที่รักของเขา ขอสดุดีดวงวิญญาณของน้องจงไปสู่สุขคติ ในสัมปรายภพเถิด ขอฝากมิตรสหายทั้งหลายที่ยังมีชีวิตอยู่ หากรักและศรัทธาน้องสุวิทย์ จงคิดสามัคคีกันต่อสู้เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ อุดมการณ์น้องสุวิทย์อย่างจริงจังต่อไป นี้คือการแสดงความรักที่แท้จริงต่อมิตรที่รักและศรัทธา

            ด้วยจิตคารวะ

ที่มา สุวิทย์ วัดหนู นักรบประชา เคียงข้างคนจน
คณะ จัดทำหนังสืออนุสรณ์แห่งชีวิต สุวิทย์ วัดหนู
วันที่ 20 ธันวาคม 2495 - วันที่ 11 มีนาคม 2550

สุเวศน์ ภู่ระหงษ์ ศิลปินประชาชน

เรื่องที่น่าสนใจของกลุ่มศิลปะ ดนตรี กวีประชาชน

ความเห็นต่อ กลุ่มศิลปะ ดนตรี กวีประชาชน