สุวิทย์ วัดหนู ยังอยู่ โดย ภาคภูมิ วิธานติรวัฒน์
(ว่าด้วยความทรงจำและ การระลึกถึง)
ภาคภูมิ วิธานติรวัฒน์
พี่สุวิทยืกับผม ไมได้ตั้งวงสุราร่วมกันหลายเดือนแล้ว คิดถึงบรรยากาศในวงสุราดังโก้วเล้งกล่าวไว้ "พบสหายรู้ใจ สุราพันจอกมิเมามาย" "วาจาหลังเมามายล้วนเป็นวาจาจากใจ"
สภาสุราการเมือง สนทนาปัญหาสังคม และวิวาทะว่าด้วยบทบาทของคนทำงานทางสังคมในแต่ละช่วงเวลา หลายต่อหลายครั้งถูกจัดตั้งขึ้นโดยพี่สุวิทย์ สมาชิกมากหน้าหลายตาทั้งที่กินเหล้า กินน้ำเปล่าหรือกาแฟ ถูกพี่ของผมตามตัวมาสนทนา เรื่องราวจริงจังจริงใจ วิพากษ์ตรงไปตรงมา ชวนให้คิดต่อ ให้ได้สำนึก นำไปปรับปรุงการงานและตัวตน ของเหล่านักกิจกรรมทางสังคม เป็นวงเหล้าที่เครียดมากที่สุดของผม
เมื่อพี่สุวิทย์จากไป หลายคนถามหาเหมือนพี่ยังอยู่ วงสนทนาทางการเมืองเหงาเศร้า หลายคนโหยหา ทั้งนักกิจกรรมในเมืองหลวง และพวกบ้านนอกอย่างผม
พี่สุวิทย์เป็นพี่ชายของผม สบายใจที่ได้คุย ได้พบ ข้อหารือจะได้รับความเห็นตรงไปตรงมา ซึ่งเป็นอย่างนี้สำหรับทุกคน โดยเฉพาะกับประชาชน คนจน คนด้อยโอกาส พี่สุวิทย์ไม่เคยปฏิเสธภารกิจของประชาชนและยืนยันอย่างมั่นคงทุกครั้งว่า ต้องพูดเรื่องจริง ต้องบอกตรงไปตรงมา วิพากษ์เชิงเทคนิคกระบวนการของหลายคนที่ทำไปด้วยเหตุผลว่า เป็นการยกระดับการเรียนรู้ของประชาชน
บางครั้งผมหงุดหงัดกับความตรงไปตรงมานี้ ผมเห็นว่า ชาวบ้านกำลังประสบปัญหาหนัก แล้วเขากำลังต่อสู้แก้ไขปัญหาอยู่ เราต้องให้เวลาเรียนรู้ยกระดับกลุ่มองค์กร ซึ่งพี่สุวิทย์เข้าใจและห่วงใยแต่ก็ยืนยันว่า ต้องขจัดทัศนะหวังพึ่งของมวลชน ต้องขจัดลักษณะของผู้ทำแทน ผู้ที่เป็นที่พึ่งในการแก้ไขปัญหาหรือลักษณะเห็นอกเห็นใจ ดูแลชาวบ้านเหมือนผู้อยู่ในความอุปถัมภ์ ของเหล่านักกิจกรรมทางสังคม
ดังที่ทุกคนทราบ ดังความจริงอันเป็นที่ประจักษ์ พี่สุวิทย์ใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตกับการงานของประชาชน ชีวิตเลือกอยู่ข้างประชาชนผู้เสียเปรียบ หวังสร้างสังคมที่เป็นธรรม เปลี่ยนแปลงสังคมแห่งชนชั้นสู่สังคมที่เท่าเทียม
เวลาแห่งการต่อสู้เคลื่อนไหวยืนหยัดกว่า 35 ปี กับความหวังที่ดูยาวไกลยากที่จะบรรลุในชั่วชีวิตนี้ ไม่ได้ทำให้พี่สุวิทย์ ท้อถอย ขอแวะพักข้างทาง หรือเลี้ยวขวาไปโน่นหน่อยเดี๋ยวจะกลับมา
พี่สุวิทย์ออกจากป่าปี 2530 หลังช่วงเวลาที่เรียกว่าวิกฤติศรัทธาหลายปี เพราะพี่สุวิทย์มีศรัทธา การตัดสินใจออกจากป่าเปลี่ยนสมรภูมิการสร้างสังคมที่เป็นธรรม ด้วยเหตุผลว่า เหลือผู้คนอยู่กลุ่มสุดท้ายถึงเวลาจำต้องเปลี่ยนแปลง ลาภยศสรรเสริญ กินพี่ชายของผมคนนี้ไม่ลง ไม่มีทางลง พี่ชายผมไม่เคยยอมอ่อนให้กับความขาดแคลนทางเศรษฐกิจ ทำงานอะไรขึ้นอยู่กับจุดยืนของตนเองเท่านั้น
ผมเขียนถึงความรัก ความชื่นชม ความศรัทธา ที่มีต่อพี่ชายของผมเป็นความจริงที่ผมรู้ ผมสัมผัส แต่พี่ชายผมก็มีด้านไม่ได้เรื่องเช่นกัน ข้อแรกเลยขี้เหล้า แต่หยุดเด็ดขาดในช่วงเข้าพรรษาซึ่งน่าเบื่อมากสำหรับผมเพราะขาดแกในวงเหล้า ตั้ง 3 เดือน
ข้อสองนี่ พี่พิภพ ธงไชยว่านะ ผมแค่เห็นด้วยนิดหน่อย คือ ปากไม่ดี มีบ้างบางครั้ง ที่จริงก็หลายครั้งอยู่ที่ความตรงไปตรงมาทำให้ผู้คนขัดใจ ด้วยชีวิตมีหลายด้าน มีเข้มแข็งมีอ่อนแอ มีมุมมืดที่ก้าวผ่านยากลำบาก แต่พี่สุวิทย์ไม่ยอมประนีประนอมกับเรื่องราวเหล่านั้น เมื่อเกิดขึ้นกับพรรคพวกพี่น้องของแก ทำให้หลายครั้งเข้าลักษณะ ยอมหักไม่ยอมงอ ซึ่งผมไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น ผมเห็นว่า ความขัดแย้งในหมู่มิตรที่มีจุดยืนร่วมกัน ไม่ใช่ความขัดแย้งแตกหัก แตกต่างกับความขัดแย้งกับชนชั้นปกครอง หรือความขัดแย้งทางชนชั้น
พี่สุวิทย์ไม่เห็นด้วย พี่พวกเรารวมทั้งผมไปทำงานร่วมในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ แกบอกว่าทำให้เราใช้เวลาไปกับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของประชาชน และทำให้เราอยู่ห่างจากมวลชน พี่สุวิทย์กำลังขับเคลื่อนจัดตั้งพรรคการเมืองของประชาชน ผมไม่เห็นด้วย แต่เราต่างเข้าใจว่า เรากำลังอยู่ในระยะผ่านทางประวัติศาสตร์ของสังคม เราประสงค์จะเห็นสังคมแห่งเหตุและผล ไม่ใช่สังคมแห่งอำนาจ ด้วยเหตุนี้องค์กรอิสระที่เราเลือกไปทำงานร่วมจึงเป็นองค์กรที่ไร้อำนาจ ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เหตุผล และความเห็นพ้องต้องกัน
พี่สุวิทย์เป็นคนรักครอบครัว รับผิดชอบต่อภรรยา นี่เป็นหนึ่งในความภูมิใจ ความสุขของพี่สุวิทย์ ที่ไม่ว่าทำอะไร เมาอย่างไร ต้องกลับบ้าน มีภารกิจต้องรับส่งและทำการงานตามที่รับปากกับภรรยา ข้อนี้เราอาจเหมือนกันคือ ไม่กลัวเมียแต่เกรงใจ เมียว่าอะไร ตอบคำเดียวว่า "ครับ" เงียบไปเลย
สุวรรณี วัดหนู นี่ก็เป็นคนจริง เรียบง่าย เข้มแข็ง สามีที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตอยู่กับคนยากไร้ ไม่ว่าการทำงานเพื่อแสวงหาความมั่นคงทางเศรษฐกิจ แต่มีครอบครัวที่อบอุ่น ต้องมีภรรยาผู้มีรักอันยิ่งใหญ่ ยืนหยัดร่วมทุกข์ร่วมสุข อย่างเข้าใจ อดทน และมั่นคง
ผมไปร่วมงานละสังขารของญาติมิตร บรรยากาศความโศกเศร้าและการระลึกถึงผู้จากไป เป็นความดีของบุคคล ความรักในครอบครัว ความดีต่อบุตรหลานและญาติมิตร ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีและน่าชื่นชม แต่บรรยากาศงานละสังขารของพวกเราหลายคน มีเรื่องครอบครัว มีเรื่องของผู้คน มีการงานทางสังคม มีชีวิตและความใฝ่ฝันถึงโลกที่เป็นธรรม มีความรักที่แผ่กว้างจากครอบครัวสู่มวลชน
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ของชุมชนคนจนเมือง ชุมชนชนบท การต่อสู้เผด็จการ และการปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย มีร่องรอย มีชีวิตของ สุวิทย์ วัดหนู เรื่องราวเดือนตุลาคม 16 ต่อเนื่องถึงตุลาคม 19 และพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย การแสวงหาครั้งใหม่ของคนหนุ่มสาวหลังช่วงวิกฤติศรัทธาในช่วงปี 23-26 การหาความหมายครั้งใหม่ ในยคพัฒนาการขององค์กรพัฒนาเอกชน กระทั่งพฤษภาคม 35 และการขับไล่เผด็จการทุนนิยมผูกขาดเมื่อปี 48-49
ผมรักและศรัทธาพี่ชายของผม ผู้ใช้ชีวิตอย่างยืนหยัด มั่นคง เคียงข้างประชาชนผู้ยากไร้ รอยทางแห่งการก้าวย่างเป็นแบบอย่าง เป็นความงาม เป็นตำราเล่มใหญ่ให้ศึกษา วันนี้พี่สุวิทย์ละสังขารรูปกายภายนอก แต่ จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ การรับใช้มวลชน คงอยู่อย่างหนักแน่น มั่นคง
สุวิทย์ วัดหนู ยังอยู่
ด้วยรักและศรัทธา
ที่มา สุวิทย์ วัดหนู นักรบประชา เคียงข้างคนจน
คณะจัด ทำหนังสืออนุสรณ์แห่งชีวิต สุวิทย์ วัดหนู
วันที่ 20 ธันวาคม 2495 - วันที่ 11 มีนาคม 2550
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น