ความจริงจักต้องมีชัย
สมัชชาคนจน
23 สิงหาคม 2554
เหตุผล 12 ประการที่ไม่ควรสร้างเขื่อนแก่ งเสือเต้น
ตลอดระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่โครงการเขื่อนแก่งเสือเต้ นเป็นที่มาของปัญหาความขัดแย้ งในสังคมนั้น เกิดจากการที่ไม่มีความชั ดเจนเรื่องที่มาของโครงการ มีการให้ข้อมูลด้านผลประโยชน์ ของโครงการสูงกว่าความเป็นจริง ในขณะที่ผลกระทบทางสังคม สิ่งแวดล้อม และความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ถู กปิดบังมาโดยตลอด รายงานนี้ได้ประมวลข้อมูลด้านต่ าง ๆ ที่เป็นประเด็นสำคัญทั้ งจากการศึกษาความเหมาะสมโครงการ รายงานการประเมินผลกระทบสิ่ งแวดล้อม ความเห็นของนักวิชาการและหน่ วยงานราชการ ตลอดไปจนถึงการนำเสนอทางเลือกอื ่น ๆ ในการจัดการลุ่มแม่น้ ำยมแทนการสร้างเขื่อนแก่งเสื อเต้น เพื่อให้การตัดสินใจใด ๆ เกี่ยวกับโครงการเขื่อนแก่งเสื อเต้นมีความรอบคอบ อย่างน้อยที่สุดก่อนการดำเนิ นการใด ๆ ผู้รับผิดชอบควรจะพิจารณาเหตุ ผลทั้ง12 ประการดังต่อไปนี้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการรั กษาผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่ างแท้จริง
1.เขื่อนแก่งเสือเต้นเป็นเขื่ อนในโครงการผันน้ำกก-อิง-ยม-น่ านและผลิตกระแสไฟฟ้าได้น้อยมาก
เขื่อนแก่งเสือเต้นเดิ มเป็นเขื่อนขนาดใหญ่ภายใต้ โครงการผันน้ำกก-อิง-ยม-น่าน รับผิดชอบโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิ ตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) โดย กฟผ.ออกแบบไว้เป็น 2 ระยะคือระยะแรกเขื่อน สูง 72 เมตร และระยะที่สองจะเพิ่มความสูงขึ้ นเป็น 92 เมตร ในปี พ.ศ.2528 กฟผ.ได้โอนให้กรมชลประทานรับผิ ดชอบโดยให้เหตุผลว่ าในระยะแรกเขื่อนแก่งเสือเต้ นให้ผลประโยชน์ด้านชลประทานเป็ นหลัก
ปัจจุบันแม้ว่าเขื่อนแห่ งนี้จะอยู่ในความรับผิ ดชอบของกรมชลประทานก็ตาม แต่เขื่อนแก่งเสือเต้น ก็ยังคงเป็นเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้ าเหมือนเดิม เขื่อนแก่งเสือเต้ นของกรมชลประทานตามที่มีการศึ กษาไว้ในรายงานการศึ กษาความเหมาะสมประเมินโดยองค์ การอาหารและเกษตรโลก(FAO) และธนาคารโลกว่า เขื่อนแก่งเสือเต้นเมื่อสร้ างแล้วคาดว่าจะได้พลังงานไฟฟ้ าปีละ 86.5 ล้านหน่วย จากการติดตั้งกังหันแบบฟรานซิส( Francise Turbine)และเครื่องผลิ ตกระแสไฟฟ้าขนาดกำลังการผลิตติ ดตั้ง(Install Capacity) 48 เมกกะวัตต์ เมื่อเทียบกับความต้องการไฟฟ้ าของประเทศที่เพิ่มขึ้นในแต่ ละปีที่ต้องการกำลังการผลิตติ ดตั้งปีละ 1,000 เมกกะวัตต์แล้ว เขื่อนแก่งเสือเต้นจะมีกำลั งการผลิตติดตั้งเท่ากับ 0.48 % ของกำลังการผลิตติดตั้งที่ ประเทศต้องการเท่านั้น
2.เขื่อนแก่งเสือเต้นแก้ภัยแล้ งไม่ได้
การออกแบบเขื่อนแก่งเสื อเต้นให้มีการผลิตกระแสไฟฟ้ าทำให้เขื่อนแก่งเสือเต้นมี ความขัดแย้งด้านวัตถุประสงค์ ในตัวเอง เนื่องจากเขื่อนแก่งเสือเต้ นจะมีความสูงหัวออกแบบ(Head)ถึง 52 เมตรจากความสูงเขื่อนทั้งหมด 70 เมตร ดังนั้นจึงทำให้เขื่อนแก่งเสื อเต้นเกิดน้ำตาย(Dead Storage)มากกว่า 2 ใน 3 ของความจุเขื่อน ซึ่งไม่สามารถปล่อยน้ำออกมาได้ ทั้งนี้เพื่อยกระดับน้ำในเขื่ อนให้สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ และเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่ อการบริหารน้ำในเขื่อนในปีต่อไป
เขื่อนแก่งเสือเต้นจึ งเปรียบเสมือนการสร้างโอ่ งขนาดใหญ่ที่มีก๊อกสูงทำให้หน้ าแล้งไม่สามารถปล่อยน้ำเพื่ อการชลประทานได้เพราะต้องเก็บน้ ำไว้ผลิตกระแสไฟฟ้าและไม่ให้มี ผลเสียต่อการบริหารน้ำในเขื่ อนในปีต่อไป และหน้าฝนเขื่อนก็ป้องกันน้ำท่ วมไม่ได้เพราะเขื่อนมีน้ำมากกว่ า 2 ใน 3 ของความจุอ่างอยู่แล้ว
3.ป้องกันน้ำท่วมลุ่มน้ ำยมและกรุงเทพ ฯ ไม่ได้
เขื่อนแก่งเสือเต้นมั กจะถูกระบุจากกรมชลประทาน และนักการเมืองบางคนอยู่เสมอว่ าสามารถป้องกันน้ำท่วมในเขตลุ่ มน้ำยม (แพร่ สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร) และกรุงเทพ ฯ ได้ แต่ข้ออ้างนี้เป็นเพี ยงการฉวยโอกาสจากการเกิดอุทกภั ยเพื่อเป็นข้ออ้างในการสร้างเขื ่อนเท่านั้น
FAO และธนาคารโลกได้ระบุไว้ ในรายงานการศึ กษาความเหมาะสมของโครงการเขื่ อนแก่งเสือเต้น (หัวข้อ 9.4)ว่า โครงการเขื่อนแก่งเสือเต้ นจะควบคุมและลดระดับน้ำท่วมในพื ้นที่ตอนล่าง โดยประโยชน์ในการป้องกันน้ำท่ วมนี้จะเกิดขึ้นในพื้นที่ที่เป็ นที่ราบลุ่ม(Flood-plain)หรือที ่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงริมฝั่งแม่น้ ำยมได้เพียงแค่พื้นที่ระหว่ างสบงาวกับเด่นชัยเท่านั้น สำหรับพื้นที่ล่างลงมาปัญหาน้ ำท่วมไม่ได้เกิดจากแม่น้ำยมแต่ เกิดจากลำน้ำสาขาและจากแม่น้ำน่ าน การศึกษาของ FAO และธนาคารโลกยังระบุว่า โดยเฉลี่ยแล้วในแต่ละปีเขื่ อนแก่งเสือเต้นสามารถป้องกันน้ ำท่วมได้เพียง 3.2 ล้านบาท เท่านั้น
4.พื้นที่ชลประทานไม่เป็นจริง
พื้นที่ชลประทาน 385,400 ไร่ ของเขื่อนแก่งเสือเต้นนั้น เป็นพื้นที่ชลประทานเดิมเกือบทั ้งหมด ดัง
รายละเอียดต่อไปนี้
-100,000 ไร่เป็นพื้นที่ชลประทานเดิ มของโครงการแม่ยม
-72,800 ไร่ เป็นพื้นที่ชลประทานเดิม ตามโครงการสูบน้ำด้วยพลังไฟฟ้ าของกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน 26 โครงการ
-ส่วนพื้นที่ชลประทานที่ เหลือเป็นพื้นที่ในเขตลุ่มน้ ำเจ้าพระยาตอนบนที่อยู่ห่ างออกไปกว่า 300 กิโลเมตร ซึ่งไม่มีคลองส่งน้ ำจากโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้ นแต่อย่างใด นอกจากนั้นแล้วพื้นที่เหล่านี้ น้ำยังถูกควบคุมโดยเขื่อนเจ้ าพระยาอยู่แล้ว
5.ผลกระทบต่อระบบนิเวศป่าไม้
พื้นที่อ่างเก็บน้ำของเขื ่อนแก่งเสือเต้นที่ระดับเก็บกั กปกติ(258 ม.รทก.) จะทำให้เกิดน้ำท่วมป่าไม้บริ เวณใจกลางอุทยานแห่งชาติแม่ ยมจำนวน 53.85 ตารางกิโลเมตรซึ่งเป็นป่ าเบญจพรรณที่อุดมไปด้วยไม้สักขึ ้นอยู่หนาแน่น มีการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติ ของไม้ดีมาก และมีการขึ้นของไม้สักทองอยู่ทั ่วไปโดยเฉพาะตั้งแต่บริเวณเหนื อเขื่อนขึ้นไปด้านป่าแม่ปุง-แม่ เป้า
-การศึกษาของมหาวิทยาลั ยมหิดลที่เสนอต่อธนาคารโลก ระบุว่าป่าแม่ยมบริเวณที่จะถู กน้ำท่วมจาก เขื่อนแก่งเสือเต้นผู้เชี่ ยวชาญด้านป่าไม้ส่วนใหญ่ถือว่ าเป็นแหล่งไม้สักทองที่สมบูรณ์ ที่สุดเพียงแห่งเดียวในไทย
-ดร.วรเรณ บรอคเคลแมน ระบุว่า ป่าแม่ยมเป็นป่าสักที่ดีที่สุด ใหญ่ที่สุดและหายากที่สุ ดในประเทศ ไทยและมี ความหลากหลายทางชีวภาพสูง
-มีพันธุ์สัตว์ที่ หายากและใกล้จะสูญพันธุ์หลายชนิ ดเช่น นกลุมพู และนกยูงพันธุ์ไทย นับได้ว่าเป็นผืนป่าอีกแห่งหนึ่ งของประเทศนอกจากป่าห้วยขาแข้ งที่มีการพบนกยูง
-การสำรวจของมหาวิทยาลั ยมหิดล พบพรรณพืชในบริเวณที่จะกลายเป็ นอ่างเก็บน้ำ 430 ชนิดซึ่งเป็นเพียงครึ่งหนึ่ งของพันธุ์ไม้ทั้งหมดเนื่ องจากไม้ล้มลุกออกดอกจนร่ วงโรยหรือเหี่ยวเฉาไปแล้ วในระหว่างการสำรวจ จำนวนชนิดพรรณพืชที่พบแยกได้ดั งนี้คือ ไม้ยืนต้น 111 ชนิด
-ไม้พุ่มขนาดเล็ก 97 ชนิด เถาวัลย์ 20 ชนิด ไม้เลื้อย 64 ชนิด พืชจำพวกเฟิร์น 15 ชนิด หญ้าและว่าน26 ชนิด ต้นไผ่ 3 ชนิด กล้วยไม้ 7 ชนิด และที่สำคัญคือสมุนไพร 135 ชนิด
-ความสูญเสียของป่าแม่ ยมถ้าหากมีการสร้างเขื่อนแก่ งเสือเต้น พบว่า คุณค่าที่สามารถประเมิ นเป็นเงินได้ (Tangible) กรมป่าไม้พบว่ามีไม้ที่จะถูกตั ดออกมีปริมาตรรวม 403,864.67 ลูกบาศก์เมตร แบ่งออกเป็นไม้สัก 130,944.31 ลูกบาศก์เมตร และ ไม้กระยาเลย 272,920.36 ลูกบาศก์เมตร มีมูลค่ารวมถึง 10,751.33 ล้านบาท สมมติว่าหากเก็บป่าในส่วนนี้ไว้ และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ โดยการทำไม้แล้วจะสามารถให้ ประโยชน์ไม้ได้เท่ากับมูลค่าปั จจุบันในทุก ๆ 30 ปี และมูลค่าเหล่านี้จะเพิ่มขึ้ นตลอดเวลาเนื่องจากในปัจจุบั นและอนาคตไม้สักเป็นไม้ที่ หายากมากขึ้น
-ในแง่คุณค่าที่ไม่ สามารถประเมินเป็นเงินได้( Intangible) รายงาน การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมมห าวิทยาลัยเชียงใหม่ระบุว่า การสูญเสียป่าไม้ จะก่อให้เกิดการเปลี่ ยนแปลงของภูมิอากาศเฉพาะถิ่น( Micro Climate) โดยเฉพาะ อุณหภูมิ ความชื้น และรูปแบบการตกของฝน การสูญเสียแหล่งต้นน้ ำลำธารของลุ่มน้ำยม นอกจากนั้นนักชีววิทยายังระบุว่ าจะทำให้เกิดการสูญเสียแหล่งพั นธุกรรมที่มีความหลากหลายทางชี วภาพที่ไม่อาจจะประเมินค่าได้ โดยเฉพาะการสูญเสียโอกาสการใช้ ประโยชน์ทางพันธุกรรมของพืชสมุ นไพรกว่า 135 ชนิด
-อ่างเก็บน้ำของเขื่อนแก่ งเสือเต้นยังเป็ นการทำลายความเป็นอุทยานแห่ งชาติแม่ยม เนื่องจากเอกลักษณ์เฉพาะของอุ ทยานแห่งนี้ตั้งขึ้นมาตามลั กษณะของพื้นที่ที่มีแม่น้ ำยมไหลผ่านและลักษณะเด่นที่ สวยงามของอุทยานแห่งชาติแม่ยมนั ้นเกิดจากแม่น้ำยม
-ผลกระทบของเขื่อนต่ออุ ทยานแห่งชาติแม่ยมยังจะเกิดขึ้ นมากกว่าที่มีการศึกษาไว้ เนื่องจากการศึกษาของรายงานทุ กฉบับกระทำที่ระดับเก็บกักปกติ ไม่ได้ศึกษาที่ระดับเก็บกักสู งสุดนอกจากนั้นป่าแม่ยมยังจะถู กทำลายเพิ่มเติมจากการสร้างหั วงานเขื่อน บ้านพักคนงาน ถนนเข้าสู่หัวงาน และแนวสายส่งไฟฟ้าแรงสูงอ่างเก็ บน้ำของเขื่อนแก่งเสือเต้นยั งจะทำให้พื้นที่ป่าไม้ตอนบนเหนื อเขื่อนถูกตัดขาดเส้ นทางคมนาคมถูกตัดขาดทำให้ การควบคุมดูแลตรวจตราการบุกรุ กทำลายป่าและลักลอบตัดไม้ไม่ สามารถปฏิบัติการได้ ในที่สุดป่าไม้เบญจพรรณที่มีไม้ สักทองก็จะค่อย ๆ หมดไป
-ในแง่นโยบาย การสร้างเขื่อนในเขตอุทยานแห่ งชาติแม่ยมเป็นการขัดแย้งกั บนโยบายป่าไม้แห่งชาติ 2535 ที่ต้องการให้มีประเทศไทยมีป่ าอนุรักษ์ร้อยละ 25 ของประเทศเพื่อรักษาความสมดุลย์ ของระบบนิเวศ ขณะที่ในปัจจุบันมีป่าอนุรักษ์ เหลืออยู่เพียงร้อยละ 14 เท่านั้น
-การสร้างเขื่อนในอุ ทยานแม่ยมยังเป็นการขัดแย้งหลั กการการจัดการลุ่มน้ำที่ห้ามมี การก่อสร้างหรือเปลี่ ยนแปลงสภาพป่าต้นน้ำชั้น 1A
-แม้ว่ากรมชลประทานระบุว่ าจะทำการปลูกป่าเพิ่มเติมมากกว่ าที่ถูกทำลายไป 2 เท่า แต่กรมชลประทานยังหาพื้นที ่ที่จะปลูกป่าชดเชยไม่ได้ ที่สำคัญการสร้างป่าให้สมบูรณ์ เหมือนสภาพป่าแม่ยมจะต้องใช้ งบประมาณมหาศาลจนไม่ สามารถคำนวณได้ ความล้มเหลวของการปลูกป่ าของกรมป่าไม้ในโครงการปลูกป่ าถาวรเฉลิมพระเกียรติจนต้องมี การทบทวนนโยบายนี้เป็นสิ่งที่ยื นยันได้ดีว่า ไม่ว่าใคร ก็ตาม(รวมทั้งนักสร้างเขื่อนด้ วย)ไม่สามารถสร้างป่าให้เหมื อนธรรมชาติขึ้นมาได้
6.ผลกระทบต่อระบบนิเวศลุ่มน้ ำยมตอนล่าง
การสร้างเขื่อนแก่งเสื อเต้นจะเป็นสาเหตุสำคัญต่อการสู ญเสียที่ราบลุ่มแม่น้ำยม (Yom River Flood-plain) ซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ( Wetland)ที่ใหญ่ที่สุ ดในประเทศคือมีบริเวณถึง 312,500 ไร่(500 ตารางกิโลเมตรและได้ขึ้นทะเบี ยนตามข้อตกลงว่าด้วยพื้นที่ชุ่ มน้ำที่มีความสำคัญระดั บนานาชาติหรืออนุสัญญาแรมซาร์( The Convention on Wetlands of International Importance Especially as Waterfowl Habitat-the Ramsar Convention) ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับบึงสี ไฟ จ.พิจิตร ภายหลังการสร้างเขื่อนสิริกิติ์ เนื่องจากน้ำที่ปล่อยออกจากเขื่ อนจะถูกบังคับให้ ไหลไปตามคลองชลประทานแทนแม่น้ ำผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเป็ นลูกโซ่ถ้าหากที่ราบลุ่มแม่น้ ำยมถูกทำลายก็คือ
-การสูญเสียปุ๋ยธรรมชาติที่ เคยพัดพามากับน้ำจะทำให้ เกษตรกรต้องใช้ปุ๋ยเคมีแทนซึ่ งจะทำให้ ผลผลิตต่อไร่ของชาวนาสูงขึ้น
-การเกิดปั ญหาการขาดแคลนแหล่งเติมน้ำใต้ดิ นให้กับที่ราบลุ่มเจ้าพระยาและ กทม.
-การทำลายแหล่ งประมงธรรมชาติของชาวบ้านที่ ดำรงมาตั้งแต่โบราณครั้งกรุงสุ โขทัยเมื่อ 700 ปีที่แล้วซึ่งกองสิ่งแวดล้ อมกรมประมงเรียกว่าการประมงน้ ำหลากหรือการประมงน้ำท่วม ที่เมื่อถึงฤดูฝนน้ำในแม่น้ ำลำคลองเอ่อท่วมท้องนา ปลาจะว่ายขึ้นไปผสมพันธุ์วางไข่ และเลี้ยงตัวอ่อนในท้องทุ่ งนาประมาณว่าที่ราบลุ่มแม่น้ำบึ งต่าง ๆ สามารถให้ผลผลิตปลาปีละ 10 กก./ไร่ หรือปีละประมาณ 3,125,000 กิโลกรัม ซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบต่ อเศรษฐกิจระดับครัวเรื อนของชาวบ้าน
-ทำลายแหล่งความหลากหลายทางชี วภาพโดยเฉพาะถิ่นที่อยู่อาศั ยของนกน้ำนานาชนิด เช่น เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองน้ำขาว ในเขต อ.บางระกำ ทำให้เกิดอุทกภัยมากขึ้น เนื่องจากการควบคุมน้ ำทางตอนบนจะทำให้เกิดการเปลี่ ยนแปลงการใช้ที่ดินมีการพั ฒนาทางโครงสร้างพื้นฐานง่ายขึ้น ทำให้พื้นที่ราบลุ่มแม่น้ ำยมและหนองน้ำต่าง ๆ เสื่อมสภาพซึ่งจะนำไปสู่การสู ญเสียหน้าที่ ของพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ ำยมในการป้องกันน้ำท่วมที่เป็ นที่พักน้ำต้องหมดไป และจะนำไปสู่การเกิดอุทกภัยในลุ ่มเจ้าพระยาและกรุงเทพ ฯ มากขึ้นเนื่องจากน้ำไหลลงสู่พื้ นที่ทางตอนล่างเร็วขึ้น
7.ความไม่ปลอดภัยของเขื่อน
-ปัญหาแผ่นดินไหว
เขื่อนแก่งเสือเต้นจะถู กสร้างขึ้นในเขตรอยเลื่อนแพร่( Phrae Fualt Zone)ซึ่งกรมทรัพยากรธรณีจัดให้ อยู่ในเขตเสี่ยงภัยในการเกิ ดความเสียหายจากแผ่นดิ นไหวในระดับปานกลาง (โซน 2) เขตรอยเลื่อนของเปลือกโลกนี้กรม อุตุนิยมวิทยาได้รวบรวมข้อมู ลพบว่า ระหว่างปี พ.ศ.2520-2538 เกิดแผ่นดินไหวถึง 71 ครั้ง แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงเกิดขึ้ นถึง 4 ครั้ง คือ เมื่อวันที่ 22-23 ธันวาคม 2523 มีขนาด 4 และ 4.2 ตามมาตราริคเตอร์ตามลำดับ บริเวณศูนย์กลางอยู่ที่เด่นชัย เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2532 ขนาด 4.2 ตามมาตราริคเตอร์ บริเวณศูนย์กลางอยู่ที่ อ.ปง จ.พะเยา และล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2538 บริเวณศูนย์กลางอยู่ที่สูงเม่น จ.แพร่ห่างจากที่ตั้งเขื่ อนประมาณ 50 กิโลเมตร มีขนาด 5.1 ตามมาตราริคเตอร์ ตามด้วยการเกิดแผ่นดินไหวในลั กษณะอาฟเตอร์ช็อคอีก 6 ครั้ง รอยเลื่อนที่เกิดการเคลื่อนตั วครั้งนี้เป็นรอยเลื่อนที่มี ความยาว 80 กิโลเมตร วางตัวขนานกับแม่น้ำยมตั้งรับกั บเขื่อนแก่งเสือเต้นพร้อมทั้งมี รอยเลื่อนของเปลื อกโลกแยกออกไปพาดผ่านเขื่อนแก่ งเสือเต้นพอดี
การศึกษาของกรมทรั พยากรธรณี ซึ่งไม่ค่อยมีการกล่าวถึงก็คือ มีรอยเลื่อนที่มีพลังห่างจากที่ ตั้งเขื่อนแก่งเสือเต้นออกไป 31 กิโลเมตรทางทิศตะวันตก เป็นรอยเลื่อนขนาดใหญ่ที่มีนั ยสำคัญอันอาจก่อให้เกิดแผ่นดิ นไหวขนาด 7 ตามมาตราริคเตอร์ขึ้นได้
การสร้างเขื่อนแก่งเสื อเต้นบนเขตรอยเลื่อนของเปลื อกโลกนั้นนอกจากจะทำให้เขื่ อนเกิดความไม่ปลอดภัยขึ้นแล้ว การกักเก็บน้ำของเขื่อนขนาด 1,175 ล้านลูกบาศก์เมตร(หรือประมาณ 1,175 ล้านตัน)จะทำให้เมื่อน้ำเป็นตั วการลั่นไก(Trigering)นำไปสู่ การเกิดแผ่นดินไหวหนักยิ่งขึ้ นได้ ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วในหลาย ๆ เขื่อน
-ปัญหาดินถล่ม
การศึกษาของกรมทรั พยากรธรณีพบว่า บริเวณด้านตะวันออกของอ่างเก็ บน้ำห่างจากที่ตั้งเขื่อน 5.2 กิโลเมตร จะเกิดการพังทลายขึ้นได้ในกรณี ที่เกิดแผ่นดินไหวในบริเวณใกล้ เคียงมีขนาดมากกว่า 6 ตามมาตราริคเตอร์ การพังทลายนี้มีปริมาตรดินและหิ นประมาณเกือบ 20 ล้านลูกบาศก์เมตรและอาจก่อให้ เกิดคลื่นน้ำ ณ บริเวณที่ตั้งเขื่อนสูงถึง 28 เมตรจากระดับเก็บกักปกติหรือสู งจากสันเขื่อน 23 เมตร ซึ่งจะทำให้อ่างเก็บน้ำมีอายุ การใช้งานสั้นลง การพังทลายอาจก่อให้เกิดคลื่นน้ ำที่อาจทำความเสียหายต่อเขื่ อนและโครงสร้างประกอบ ตลอดจนทรัพย์สินของประชาชนทางด้ านท้ายน้ำ
8.ความไม่คุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ เนื่องจากราคาของเขื่อนที่สูงขึ ้น
ราคาค่าก่อสร้างเขื่อนแก่ งเสือเต้นมีแนวโน้มว่าจะสู งมากขึ้นเมื่อมีการก่อสร้างจริง ดังจะเห็นได้ว่าในปี พ.ศ.2538 ราคาค่าก่อสร้างที่ผ่านสำนั กงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสั งคมแห่งชาติ(สสช.) 3,593.8 ล้านบาท แต่ที่ ครม.อนุมัติเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2539 เพิ่มเป็น 4,083 ล้านบาท อย่างไรก็ตามราคาของเขื่ อนอาจเพิ่มขึ้นถึง 10,000 ล้านบาทได้ เนื่องจาก
-การออกแบบให้เขื่อนแก่ งเสือเต้นรองรับแผ่นดินไหวจากที ่เคยออกแบบไว้ 0.1g เป็น 0.31g (ค่า g คือค่าออกแบบต้านทางแผ่นดินไหว) ตามที่กรมทรัพยากรธรณีแนะนำ ซึ่งจะทำให้ต้องใช้งบประมาณเพื่ อให้เขื่อนแข็งแรงถึง 3 เท่า
-การป้องกันผลกระทบจากแผ่ นดินถล่มโดยการลดระดับน้ำใต้ดิ น ตามข้อเสนอของกรมทรัพยากรธรณี
-การปรับปรุ งฐานรากโดยการขุดลอกชั้นดิน การอัดฉีดหินปูน และการเจาะหลุ มระบายแรงดันน้ำบริเวณอุโมงค์ ระบายน้ำ กรมทรัพยากรธรณี ประเมินว่าค่ าใช้จ่ายนี้จะเพิ่มขึ้น10%ของค่ าใช้จ่ายของงานโยธาการติดตั้ งเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยของเขื่อนเช่ น เครื่องมือวัดการเคลื่อนที่ ของมวลดิน ตามข้อเสนอของกรมทรัพยากรธรณี
-ค่าชดเชยทรัพย์สิ นและการอพยพของชาวบ้านเชียงม่ วน
-ค่าแก้ไขผลกระทบทางสิ่ งแวดล้อม(Mitigation Cost)อื่น ๆ ที่จะตามมาภายหลัง เช่น ค่าใช้จ่ายในการ ลดการกัดเซาะของดิน การเพิ่มหน่วยพิทักษ์ป่า การเฝ้าระวังไฟป่า การปลูกป่าทดแทน ฯลฯ ราคาของเขื่อนที่จะสูงขึ้นนี้ จะทำให้ในแง่เศรษฐศาสตร์แล้ว เขื่อนแก่งเสือเต้นไม่มีความคุ้ มที่จะก่อสร้างแต่อย่างใด
ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ วกับเขื่อนขนาดใหญ่ 4 เขื่อน คือ เขื่อนศรีนครินทร์ งบประมาณเพิ่มขึ้นจากที่ ครม.อนุมัติ 1,800 ล้านบาทเป็น 4,623 ล้านบาท เขื่อนเขาแหลมงบประมาณเพิ่มขึ้ นจากที่ ครม.อนุมัติ 7,711 ล้านบาทเป็น 9,100 ล้านบาท เขื่อนบางลางงบประมาณเพิ่มขึ้ นจากที่ ครม.อนุมัติ 1,560 ล้านบาท เป็น2,729.2 ล้านบาท เขื่อนปากมูลงบประมาณเพิ่มขึ้ นจากที่ ครม.อนุมัติ 3,880 ล้านบาทเป็น 6,600 ล้านบาท ทั้งนี้สาเหตุของงบประมาณที่เพิ ่มมหาศาลของเขื่อนทั้ง 4 นี้เกิดจากปัญหาทางธรณีวิทยาทั้ งสิ้น
9.อายุของเขื่อนที่สั้น
แม่น้ำยมเป็นแม่น้ำที่มี อัตราการพังทะลายของหน้าดินสู งเนื่องจากมีหินที่ถูกกั ดเซาะได้ง่าย ทำให้ เป็นแม่น้ำที่มี การตกตะกอนสูงที่สุดสายหนึ่ งของประเทศซึ่งจะเป็นสาเหตุให้ เขื่อนแก่งเสือเต้นมีอายุใช้ งานสั้นลง ศาสตราจารย์ ดร.ปริญญา นุตาลัย แห่งสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย( AIT)ระบุว่า แม่น้ำยมเป็นแม่น้ำที่มี การตกตะกอนมากกว่า 540 ล้านตัน/ปี ซึ่งจะทำให้เขื่อนแก่งเสือเต้ นมีดินเต็มปริมาตรออกแบบเก็บกั กตะกอนของเขื่อนภายใน 20 ปี ทำให้เขื่อนมีอายุการใช้งานสั้ นลงถึง 30 ปี จากที่คาดว่าเขื่อนจะมีอายุ การใช้งาน 50 ปี
10.ผลกระทบต่อชาวบ้าน
อ่างเก็บน้ำเขื่อนแก่งเสื อเต้น จะท่วมพื้นที่ตั้งถิ่ นฐานของชาวบ้านกว่า 2,700 ครอบครัว ในเขต ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ และแอ่งเชียงม่วนในเขต อ.เชียงม่วน จ.พะเยา กรมชลประทานได้นำเสนอตั วเลขชาวบ้านที่จะถูกอพยพเพียง 620 ครอบครัว ใน 3 หมู่บ้านของ ต.สะเอียบเท่านั้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่ศึกษามาตั้ งแต่ปี 2535 และศึกษาที่ระดับเก็บกักปกติ( 258 ม.รทก.) ขณะที่เขื่อนแก่งเสือเต้นเก็บกั กน้ำที่ระดับสูงสุด 262.7 ม.รทก.(เขื่อนสูง 263 ม.รทก.หรือ 70 เมตร) ซึ่งเป็นระดับออกแบบเพื่อป้องกั นน้ำท่วม
การปกปิดผลกระทบที่แท้จริ งต่อการอพยพชาวบ้านของเขื่อนแก่ งเสือเต้นนั้นก็เพื่อที่ จะลดกระแสคัดค้านของชาวเชียงม่ วน ซึ่งเป็นกลเม็ดของนักสร้างเขื่ อนที่เคยใช้ได้ผลมาแล้ วในหลายเขื่อน การไม่ยินยอมให้มีการสร้างเขื่ อนแก่งเสือเต้นของชาวบ้านนั้นมี พื้นฐานจากการที่ชาวบ้านเรียนรู ้ประสบการณ์จากชาวบ้านที่ถู กอพยพจากการสร้างเขื่อนต่าง ๆ ที่ผ่านมาที่ล้วนแต่ประสบกั บความล้มเหลว ไม่ว่าจะเป็นเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนสิรินธร เขื่อนเขาแหลม เขื่อนเชี่ยวหลาน เขื่อนปากมูล ฯลฯ การบีบบังคับให้ชาวบ้ านอพยพจากถิ่นฐานเดิม การไม่รับฟังความเห็นของชาวบ้าน ตลอดไปจนถึงการไม่ให้ชาวบ้านเข้ าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจจึ งเป็นการละเมิดสิทธิชุมชนที่ขั ดแย้งกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสั งคมแห่งชาติฉบับที่ 8 ที่ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่ วมในการพัฒนาประเทศ
11.ความไม่เป็นธรรมในสังคม
กรมชลประทานมักอ้างเสมอว่ า สร้างเขื่อนเพื่อประโยชน์ ของประชาชน แต่แท้จริงแล้วเขื่อนก็คือตั วอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นถึ งความไม่เป็นธรรมในสังคม
ความไม่เป็นธรรมในสั งคมไม่ได้เกิดขึ้นจากการที่ คนกลุ่มหนึ่งต้องการน้ำและไม่ต้ องการน้ำ(ท่วม) แล้วผลักภาระไปให้คนอีกกลุ่มหนึ ่งเท่านั้น การสร้างเขื่อนซึ่งทำให้เกิดน้ ำท่วมพื้นที่อุทยานแห่งชาติซึ่ งเป็นพื้นที่ส่วนรวมและใช้ภาษี ของประชาชนนั้นทำให้เกิดความไม่ เป็นธรรมต่อคนส่วนใหญ่ในสังคมอี กด้วย
ประการแรก ความเป็นจริงในสังคมไทยก็คือ ที่ดินส่วนใหญ่อยู่ในการถื อครองของนายทุน โดยคนไทย 90% (50 ล้านคน หรือร้อยละ 83.33 ถือครองที่ดินรวมกัน 50 ล้านไร่หรือมีที่ดินเฉลี่ยไม่ถึ งคนละ 1 ไร่ ขณะที่คนอีก 10% (10ล้านคน) ถือครองที่ดิน 97 ล้านไร่ ด้วยอัตราการถือครองเช่นนี้ที่ ดินส่วนใหญ่ใต้เขื่อนจึงไม่ได้ อยู่ในมือของชาวนา (และไม่ยกเว้นในกรณีของลุ่มน้ ำยม) การสร้างเขื่อนที่อ้างว่าเพื่ อหาน้ำให้ชาวนานั้นแท้จริงแล้ วประโยชน์ส่วนใหญ่จะตกอยู่กั บนายทุนที่ดินมากกว่า นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมยิ่ งสร้างเขื่อนชาวนาก็ยังยากจนอยู ่เหมือนเดิม ก่อนการสร้างเขื่อนสิ่งที่สำคั ญอย่างยิ่งคือ การปฏิรูปที่ดินท้ายเขื่อนให้กั บชาวนาก่อนเพื่อเป็นหลักประกั นว่าโครงการที่ใช้ภาษี ของประชาชนจะตกกับคนส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่มีเขื่อนแห่งไหนที่ปฏิ รูปที่ดินท้ายเขื่อนก่อนการก่ อสร้าง
ประการที่สอง การสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นเพื่ อนำน้ำไปให้พื้นที่เอกชน 385,000 ไร่ แต่ต้องสูญเสียพื้นที่ป่าของรั ฐ(หรือส่วนรวม)อย่างน้อยที่สุด 45,000 ไร่นั้น เท่ากับเป็นการสร้างหลักการที่ ว่าใครมีที่ดินจำนวนหนึ่งก็จะมี สิทธิในการใช้ที่ดินจากส่ วนรวมเพิ่มขึ้นอีก 13% (เพื่อนำไปสร้างอ่างเก็บน้ำ) ซึ่งประชาชนส่วนรวมก็ต้องสูญเสี ยป่าไปเรื่อย ๆ ส่วนใครที่ไม่มีที่ดินก็ไม่มีสิ ทธิได้ประโยชน์จากการใช้พื้นที่ รัฐอีก 13%
12.ทางเลือกอื่นในการจัดการลุ่ มแม่น้ำยมโดยไม่ต้องสร้างเขื่ อนแก่งเสือเต้น
ข้อจำกัดที่สำคัญของนั กสร้างเขื่อนก็คือ การพิจารณาแต่เพียงว่ามีหุ บเขาที่ไหนที่สร้างเขื่อนได้ก็ จะเสนอโครงการสร้างเขื่อนทันที โดยไม่ได้พิจารณาถึ งความเหมาะสมทางนิเวศวิทยา ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ และความไม่เป็นธรรมหรือความขั ดแย้งในสังคม นั่นคือข้อจำกัดอย่างยิ่งของวิ ศวกร กรณีของเขื่อนแก่งเสือเต้นนั้ นเป็นตัวอย่างได้ดี
ความจริงแล้วปัญหาน้ำแล้ ง-น้ำท่วมในเขตลุ่มแม่น้ำยม ประการหนึ่งเกิดจากสภาพของลุ่ มน้ำในเขตร้อนที่จะต้องมีฤดูแล้ ง-ฤดูฝน ที่สำคัญแม่น้ำที่มีที่ราบลุ่ มน้ำท่วมถึง(Flood-plain) คือสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ที่ธรรมชาติของแม่น้ำได้สร้ างให้กับมนุษย์ แต่ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งจนสร้ างความเสียหายรุนแรงนั้นเกิดขึ้ นจากผลพวงมาจากการทำลายธรรมชาติ การตั้งถิ่นฐานผิดที่ การใช้ที่ดินผิดประเภทและการพั ฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเขตที่ ราบลุ่มแม่น้ำยม ในการเสนอให้สร้างเขื่อนเพื่ อแก้ปัญหานี้นอกจากจะไม่ สามารถแก้ปัญหาได้จริงแล้ว ผลที่ตามมาจากการที่เขื่ อนไปทำลายธรรมชาติก็จะยิ่งเกิ ดปัญหารุนแรงมากยิ่งขึ้นเขื่ อนแก่งเสือเต้นที่ได้อย่างเสี ยอย่างและก่อให้เกิ ดผลกระทบในระยะยาวจึงไม่ใช่ การพัฒนา
ในการจัดการลุ่มแม่น้ ำยมแนวความคิดหลักที่ ควรจะนำมาพิจารณาคือ การจัดการโดยใช้แนวทางทางภูมินิ เวศวิทยา การจัดการน้ำแบบใหม่ และการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งมีวิธีอื่น ๆ ที่เป็นทางเลือกอีกมากมายโดยไม่ ต้องสร้างเขื่อนดังต่อไปนี้
การฟื้นฟูป่าต้นน้ำ
ลุ่มแม่น้ำยมมีพื้นที่ป่ าไม้น้อยมากเมื่อเทียบกับลุ่มน้ ำอื่น ๆ ของประเทศ เนื่ องจากการทำลายป่าที่ต่อเนื่ องมากว่า 1 ศตวรรษ นับแต่การเข้ามาของชาติตะวั นตกที่เข้ามาสัมปทานทำไม้ในสมั ยรัชกาลที่ 5 การให้สัมปทานทำไม้แก่ เอกชนของรัฐบาลไทย ต่อเนื่องมาจนถึงการทำไม้เถื่ อนในปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดการไร้เสถี ยรภาพของลุ่มน้ำ ดังที่ UNESCO ได้ระบุถึงความสัมพันธ์ระหว่ างป่าไม้กับน้ำว่า"น้ำที่ปล่ อยออกมาจากบริเวณที่รองรับน้ ำฝนที่มีป่าไม้จะมีปริมาณไม่เกิ น 1-3% ของปริมาณน้ำฝนที่ตก แต่เมื่อป่าถูกทำลายน้ำที่ถู กปล่อยออกมาสู่แม่น้ำจะมีปริ มาณถึง 97-98% เลยทีเดียว การฟื้นฟูป่าไม้(โดยการประกาศป่ าชุมชน ป่าอนุรักษ์ ปลูกป่า ฯลฯ)นับเป็นแนวทางหนึ่งที่จะฟื้ นฟูเสถียรภาพให้กลับคืนมา
การขุดลอกตะกอนแม่น้ำ
แม่น้ำยมและลำน้ำสาขาต่ าง ๆ ในปัจจุบันเสื่อมโทรมลงเนื่ องจากการทับถมของตะกอน(ซึ่งเป็ นผลมาจากการที่แม่น้ำยมมีหินที่ กัดเซาะได้ง่าย การทำลายป่าไม้ และการใช้ที่ดินที่ไม่ถูกต้อง) ทำให้แม่น้ำยมไม่สามารถรองรับน้ ำในฤดูน้ำหลากและเก็บน้ำในฤดู แล้งได้ การขุดลอกตะกอนจะสามารถฟื้นฟู แม่น้ำให้กลับมาทำหน้าที่แม่น้ ำตามธรรมชาติได้
การฟื้นฟูที่ราบลุ่มแม่น้ ำยม
ที่ราบลุ่มแม่น้ำยม ในปัจจุบันถูกคุกคามอย่างหนั กเนื่องจากการเข้าไปตั้งชุ มชนและเมืองของมนุษย์จนทำให้ที่ ราบลุ่มแม่น้ำยมไม่สามารถทำหน้ าที่ป้องกันน้ำท่วมได้และทำให้ ความเสียหายจากน้ำท่วมมีความรุ นแรงมากขึ้น การฟื้นฟูที่ราบลุ่มแม่น้ ำยมสามารถทำได้โดย
-ขุดลอกคูคลองที่เชื่ อมระหว่างแม่น้ำกับหนองบึง
-การยกถนนให้สูงขึ้นหรื อเจาะถนนไม่ให้กีดขวางทางน้ำ
-การสร้างบ้านเรือนให้อย่ างน้อยที่สุดชั้นล่างสุดต้องสู งกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุด
-การแนะนำให้ เกษตรกรการปลูกพืชอายุสั้น/พั นธุ์ข้าวขึ้นน้ำให้เหมาะสมกั บสภาพพื้นที่
-การกำหนดให้เป็นเขตเสี่ ยงภัยจากน้ำท่วม
-การหยุดยั้งการสร้ างโครงสร้างพื้นฐานในเขตที่ ราบลุ่มแม่น้ำยม
-การใช้ประโยชน์จากพื้นที ่ให้เหมาะสม เช่น เป็นที่ท่องเที่ยว เป็นแหล่งประมง เขตอนุรักษ์ความหลากหลายทางชี วภาพ
สิ่งเหล่านี้ นอกจากจะสอดคล้องกับระบบนิเวศ ไม่เกิดความขัดแย้งในสังคม ใช้งบประมาณไม่มากประชาชนมีส่ วนร่วมได้ในทุกระดับแล้ว ยังสามารถป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ ทางตอนล่างลงมาตลอดจนถึงกรุ งเทพฯ ได้ เนื่องจากที่ราบลุ่มแม่น้ำยมเป็ นที่พักน้ำที่สามารถพักน้ำไม่ ให้ไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาพร้ อมกันถึง 500-1,500 ล้านลูกบาศก์เมตร(มากกว่าแก่ งเสือเต้นเสียอีก)
ตัวอย่างในการใช้ที่ราบลุ ่มแม่น้ำในการป้องกันน้ำท่วมก็ คือ U.S.Army Corp. of Engineer ได้ใช้ที่ราบลุ่มแม่น้ำชาร์ลส์( Charles River Flood-plain) ในมลรัฐแมสซาซูเส็ทท์ในการป้ องกันน้ำท่วมหลังจากการศึ กษาพบว่า ที่ราบลุ่มแม่น้ำชาร์ลส์พื้นที่ 3,800 แฮคแตร์(23,750 ไร่ หรือเล็กกว่าที่ราบลุ่มแม่น้ำยม 15 เท่า)ช่วยป้องกันน้ำท่วมได้ จากการที่เมื่อมีการพัฒนาพื้นที ่ 40% ได้เกิดความเสียหายจากน้ำท่ วมเพิ่มขึ้นเสียหายถึงปีละ 3 ล้านเหรียญ และคาดว่าถ้าหากมีการพัฒนาพื้ นที่ทั้งหมดแล้ว ความเสียหายจากน้ำท่วมจะเพิ่มขึ ้นได้ถึงปีละ 17 ล้านเหรียญ ในการแก้ปัญหาน้ำท่วมนี้ U.S.Army Corp. of Engineer ได้ใช้งบประมาณเพียงปีละ 1.9 ล้านเหรียญในการฟื้นฟูที่ราบลุ่ มแม่น้ำชาร์ลส์ การฟื้นฟูที่ราบลุ่มแม่น้ำชาร์ ลส์นอกจากแก้ปัญหาน้ำท่วมแล้ว ยังสามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ ำได้ โดยที่ราบลุ่มแห่งนี้สามารถเป็ นแหล่งน้ำตื้นใต้ดินตอบสนองน้ ำอุปโภคบริโภคในชุมชน 60 แห่งที่มีประชากรรวม 750,000 คน
การจัดการทางด้านความต้ องการ(Demand Side Management)
ในปัจจุบันลุ่มแม่น้ำยมมี ระบบชลประทานขนาดใหญ่ และขนาดกลาง 24 แห่ง ระบบชลประทานขนาดเล็ก 220 แห่ง บ่อน้ำตื้น 240 บ่อ และระบบสูบน้ำด้วยพลังไฟฟ้ าของกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน 26 แห่ง รวมพื้นที่ชลประทาน 1,117,465 ไร่ ระบบชลประทานเหล่านี้ล้วนแต่มี ประสิทธิภาพต่ำ กล่าวคือ ประสิทธิภาพเฉลี่ ยระบบชลประทานของกรมชลประทานมี เพียง 35% ส่วนระบบสูบน้ำด้วยพลังไฟฟ้ามี ประสิทธิภาพเฉลี่ย 57% ขณะที่ประสิทธิ ภาพระบบชลประทานทั่วโลกเฉลี่ย 64% การจัดการด้วย DSM โดยการซ่อมบำรุงระบบชลประทานที่ มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพ การสนับสนุนให้เกิดกลุ่มผู้ใช้ น้ำ การให้ความรู้แก่ผู้ใช้น้ ำจะสามารถทำให้เหลือน้ำจำนวนมาก เฉพาะระบบของกรมชลประทานถ้าใช้ ระบบ DSM จะเหลือน้ำถึง 101 ล้านลูกบาศก์เมตร เทียบเท่ากับปริมาณในการอุ ปโภคบริโภคของคนในลุ่มแม่น้ ำยมถึง 7.6 ล้านคน
การพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก
การแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ ำในลุ่มแม่น้ำยมสามารถดำเนิ นการได้โดยการพัฒนาแหล่งน้ ำขนาดเล็กตามที่มีรายละเอี ยดในแผนการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ ก ซึ่งจัดทำโดยกรมการปกครอง กระทรวง มหาดไทย แผนดังกล่ าวสามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ ำได้โดยใช้งบประมาณเฉลี่ยแล้ วหมู่บ้านละประมาณ 3 ล้านบาทเท่านั้น
การพัฒนาระบบประปา
การขาดแคลนน้ำในเมืองใหญ่ ๆ โดยเฉพาะในฤดูแล้งที่ความต้ องการน้ำมีสูง ไม่ได้เกิดจาก การขาดน้ำดิบเท่ านั้น แต่เกิดจากระบบการผลิตน้ ำประปาของการประปาภูมิภาคไม่เพี ยงพอ ตัวอย่างเช่น เมืองสุโขทัยขาดแคลนน้ ำประปาในฤดูแล้งเพราะระบบการผลิ ตน้ำประปามีความสามารถในการผลิ ตน้ำประปาเพียง 60 % ของความต้องการน้ำประปาสูงสุ ดในฤดูแล้ง การขยายระบบการผลิตน้ ำประปาจะสามารถช่ วยในการขาดแคลนน้ำอุปโภค-บริ โภคในเมืองใหญ่ได้อย่างไรก็ ตามการรณรงค์ให้มีการประหยัดน้ ำในฤดูแล้งก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น
ทางเลือกอื่นๆ ที่ไม่ต้องสร้างเขื่อนแก่งเสื อเต้น
ผลการศึกษาจากหลายหน่ วยงานได้ข้อสรุปแล้วว่า โครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วมได้ ผลการศึกษาของ องค์การอาหารและการเกษตรโลก (FAO.) ด้วยเหตุผลเรื่องการป้องกันน้ ำท่วม เขื่อนแก่งเสือเต้น สามารถ เยียวยาปัญหาน้ำท่วมได้ เพียง 8 เปอร์เซ็นต์ การศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่ อการพัฒนา ประเทศไทย (TDRI.) ด้วยเหตุผลทาง เศรษฐศาสตร์ ได้ข้อสรุปว่า เขื่อนแก่งเสือเต้นไม่คุ้มทุน การศึกษาของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ด้วยเหตุผลทางนิเวศวิทยา ที่มีข้อสรุปว่าหากสร้างเขื่ อนแก่งเสือเต้นจะกระทบต่อระบบนิ เวศน์ของอุทยานแห่งชาติแม่ยมเป็ นอย่างมาก หากเก็บผืนป่าที่จะถูกน้ำท่ วมไว้จะมีมูลค่าต่อระบบนิเวศน์ และชุมชนอย่างมาก การศึกษาของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยเหตุผลทางด้าน ป่าไม้ สัตว์ป่า ที่มีข้อสรุปว่า พื้นที่ที่จะสร้างเขื่อนแก่งเสื อเต้น เป็นทั้งอุทยานแห่งชาติที่มี ความอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งยังเป็นแหล่งป่าสั กทองธรรมชาติ ผืนเดียวที่เหลืออยู่ ดังนั้น ควรเก็บรักษาไว้ เพื่ออนาคตของประชาชนไทยทั้ งประเทศ
การศึกษาของมูลนิธิคุ้ มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ด้วยเหตุผลในการจัดการน้ำ ยังมีทางออก และทางเลือกอื่น ๆ อีกหลายวิธีการ ที่แก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้ โดยไม่ต้องสร้างเขื่อนแก่งเสื อเต้น การศึกษาของมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้เสนอ 19 แผนงานการจัดการน้ำแบบบูรณาการ ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาทั้งน้ำแล้ ง น้ำท่วม ได้อย่างเป็นระบบทั้งลุ่มน้ำยม โดยไม่ต้องสร้างเขื่อนแก่งเสื อเต้น อีกทั้งการศึกษาของกรมทรั พยากรธรณี ได้ชี้ชัดว่า บริเวณที่จะสร้างเขื่อนแก่งเสื อเต้น ตั้งอยู่แนวรอยเลื่อนของเปลื อกโลก คือ รอยเลื่อนแพร่ ซึ่งยังมีการเคลื่อนตัวอยู่ ตลอดเวลา เป็นการเสี่ยงอย่างมากที่จะสร้ างเขื่อนใกล้กับรอยเลื่ อนของเปลือกโลก เสมือนหนึ่งเป็นการวางระเบิ ดบนหลังคาบ้านของคนเมืองแพร่
ทางเลือกในการแก้ไขปัญหา ภัยแล้ง น้ำท่วม ลุ่มน้ำยม
โดยไม่ต้องสร้างเขื่อนแก่งเสื อเต้น
การจัดการน้ำแบบบูรณาการ ลุ่มน้ำยมทั้งระบบ ได้มีการศึ กษาและวางแผนโดยกรมทรัพยากรน้ ำกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ได้ผลสรุปออกมาแล้วว่า ไม่จำเป็นต้องสร้างเขื่อนแก่ งเสือเต้น ก็สามารถบริหารจัดการน้ำได้ ซึ่งในแผนนี้ใช้งบประมาณน้อยกว่ าโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้นเสี ยอีก แต่ระบบราชการไทย ถือประเพณีไม่ขัดขวางผลประโยชน์ ของหน่วยงานราชการด้วยกัน แผนการจัดการลุ่มน้ำยมทั้ งระบบของกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ งแวดล้อม จึงไม่ได้ดำเนินการให้เป็นจริง การจัดการโดยใช้แนวทางทางภูมินิ เวศวิทยา การจัดการน้ำแบบใหม่ และการพัฒนาที่ยั่งยืน มองภาพรวมการแก้ไขปัญหาการจั ดการน้ำทั้งระบบ จึงจะสามารถแก้ไขปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม ลุ่มน้ำยมได้ แต่ทำไมไม่เลือก
การฟื้นฟูป่าต้นน้ำ การฟื้นฟูป่าไม้ การอนุรักษ์ป่า การปลูกป่าเสริม การปกป้อง พิทักษ์ รักษา และการจัดการป่า โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม นับเป็นแนวทางหนึ่งที่จะฟื้นฟู เสถียรภาพของระบบนิเวศน์ ให้กลับคืนมาสู่สมดุล อย่างยั่งยืน
การขุดลอกตะกอนแม่น้ำ อันจะสามารถฟื้นฟูแม่น้ำให้กลั บมาทำหน้าที่แม่น้ำตามธรรมชาติ ได้ การทำทางเบี่ยงน้ำเพื่ อระบายออกนอกเขตชุมชน การสร้างเครือข่ายทางน้ำเพื่ อกระจายน้ำไปยังนอกเขตชุมชน ซึ่งได้เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ ว หากแต่บางจังหวัด บางพื้นที่ที่ยังติดขัดเรื่ องงบประมาณในการดำเนินการ เพราะผู้แทนราษฎรในพื้นที่นั้นๆ ไม่มีศักยภาพในการดึ งงบประมาณมาดำเนินการ ตรงข้ามกับพื้นที่ที่มีผู้ แทนราษฎร มีรัฐมนตรี การดำเนินการแล้วเสร็จลุล่ วงไปหลายโครงการ แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาภั ยแล้ง น้ำท่วมได้ เพราะโครงการต่างๆ ยังไม่ครบตามแผนที่วางไว้ทั้ งระบบ การฟื้นฟูที่ราบลุ่มแม่น้ำยม การขุดลอกคูคลองที่เชื่อมระหว่ างแม่น้ำกับหนองบึง การยกถนนให้สูงขึ้น หรือเจาะถนนไม่ให้กีดขวางทางน้ำ การสร้างบ้านเรือนให้อย่างน้ อยชั้นล่างสุดต้องสูงกว่าระดั บน้ำท่วมสูงสุด การแนะนำให้เกษตรกรการปลูกพื ชอายุสั้น พันธุ์พืชที่เหมาะสมกับสภาพพื้ นที่ การกำหนดให้เป็นเขตเสี่ยงภั ยจากน้ำท่วม การหยุดยั้งการสร้างโครงสร้างพื ้นฐานที่ขวางทางน้ำในเขตที่ ราบลุ่มแม่น้ำยม การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ให้ เหมาะสม เช่น เป็นที่ท่องเที่ยว เป็นแหล่งประมง เขตอนุรักษ์ความหลากหลายทางชี วภาพ สิ่งเหล่านี้นอกจากจะสอดคล้องกั บระบบนิเวศน์ ยังสามารถป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ ทางตอนล่างลงมาตลอดจนถึงกรุ งเทพฯ ได้ เนื่องจากที่ราบลุ่มแม่น้ำยมเป็ นที่พักน้ำ ที่สามารถพักน้ำไม่ให้ไหลลงสู่ แม่น้ำเจ้าพระยาพร้อมกันถึง 500-1,500 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งปริมาณมากกว่าความจุ ของโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้ นเสียอีก
ปัจจุบันลุ่มแม่น้ำยมมี ระบบชลประทานขนาดใหญ่ และขนาดกลาง 24 แห่ง ระบบชลประทานขนาดเล็ก 220 แห่ง บ่อน้ำตื้น 240 บ่อ และระบบสูบน้ำด้วยพลังไฟฟ้ าของกรมพัฒนา และส่งเสริมพลังงาน 26 แห่ง รวมพื้นที่ชลประทาน 1,117,465 ไร่ ระบบชลประทานเหล่านี้ล้วนแต่มี ประสิทธิภาพต่ำ ต้องได้รับการฟื้นฟูให้ใช้ ประโยชน์ให้เต็มประสิทธิภาพ
การพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก ในการแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำในลุ ่มแม่น้ำยม สามารถดำเนินการได้โดยการพั ฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็กตามที่มี รายละเอียดในแผนการพัฒนาแหล่งน้ ำขนาดเล็ก ซึ่งจัดทำโดย กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย แผนดังกล่าวสามารถแก้ปั ญหาการขาดแคลนน้ำได้โดยใช้ งบประมาณเฉลี่ยแล้วหมู่บ้ านละประมาณ 3 ล้านบาทเท่านั้น การพัฒนาระบบประปา การขาดแคลนน้ำในเมืองใหญ่ ๆ โดยเฉพาะในฤดูแล้งที่ความต้ องการน้ำมีสูง ไม่ได้เกิดจาก การขาดน้ำดิบเท่านั้น แต่เกิดจากระบบการผลิตน้ ำประปาของการประปาภูมิภาคไม่เพี ยงพอ
ทางเลือกในการจัดการน้ำ ที่ดำเนินการศึกษา โดยคณะวิ ศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก เสนอโครงการแก้ไขปัญหาภัยน้ำท่ วมแบบเบ็ดเสร็จ 19 แบบ คือ 1.ปลูกป่าป้องกันน้ำท่วม 2. เกษตรแนวระดับป้องกันน้ำท่วม 3.อ่างเก็บน้ำขนาดเล็กกักเก็บน้ ำเพื่อการเกษตรของชุมชน 4.ป้องกันไฟและแนวซับน้ำ 5.พื้นที่กักเก็บน้ำเพื่อป้องกั นภัยน้ำท่วมบนที่สูง 6.คลองเฉลิมพระเกียรติป้องกันน้ ำท่วมฉับพลัน 7.ชลประทานแนวระดับป้องกันน้ำท่ วม 8.ศูนย์อพยพเพื่อบรรเทาภัยน้ำท่ วมหมู่บ้าน 9.ตุ่มน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม 10.ถนนเฉลิมพระเกียรติป้องกันน้ ำท่วม 11.สะพานและทางระบายน้ำเฉลิ มพระเกียรติ 12.อ่างเก็บน้ำหน้าเมืองเพื่อป้ องกันน้ำท่วม 13.แนวคันดินป้องกันเมืองเพื่ อป้องกันน้ำท่วม 14.พื้นที่กักเก็บน้ำชั่วคราวป้ องกันน้ำท่วม 15.ฝายพิเศษป้องภัยน้ำท่วม 16.ระบบเตือนภัยธรรมชาติสู่ภูมิ ภาค 17.โครงการศึกษาเพื่อการป้องภั ยธรรมชาติ 18.ความร่วมมือกองทัพบกในการขุ ดคลอง คู อ่างเก็บน้ำ แนวคันดิน 19.ความร่วมมื อตำรวจตระเวนชายแดน ให้ความรู้แก่ประชาชน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น