วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

รำลึก 1 ปี สุวิทย์ วัดหนู เชิดชูอุดมการณ์ เดินตามรอยความดี 11 มีนาคม 2551 ณ วัดสามัคคีบรรพต ต.บางเร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

          
   เวลา
              รายการ
                             โดย
หมายเหตุ
11:00
เลี้ยงพระเพล
ครอบครัววัดหนู

12:00
เวทีวัฒนธรรม
รายการศิลปะ ดนตรี กวีประชาชน FMTV


เดี่ยวแยนโนไว้อาลัย
น้องต้นกล้า


ศิลปินร่วมไว้อาลัย
วง ฆราวาส


กวีอาลัยแด่สุวิทย์  วัดหนู
วสันต์  สิทธิเขตต์


ศิลปินร่วมไว้อาลัย
นิด กรรมาชนดนตรีชนเผ่า “โครงการเรียนรู้กู้บ้านเกิด


ศิลปินร่วมไว้อาลัย
สุพัฒน์  นิลบุตร






ศิลปินร่วมไว้อาลัย
ไก่  แมลงสาบ


1 ปี ที่จากไปสุวิทย์ วัดหนู
ภรรยาสุวิทย์ วัดหนู



พิภพ  ธงไชย



สมศักดิ์ โกศัยสุข



นิติรัตน์  ทรัพย์สมบูลย์


ศิลปินร่วมไว้อาลัย
เศก  ศักดิ์สิทธิ์


ศิลปินร่วมไว้อาลัย
วงซูซู


ศิลปินร่วมไว้อาลัย
ชูเกียรติ  ฉาไธสง


กวีอาลัยเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
วสันต์  สิทธิเขตต์



 กำกับรายการ   ซัน                                                               



 สุ วิทย์  วัดหนู เกิดเมื่อ 20 ธันวาคม 2495 ที่ ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี จบการศึกษามหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒบางแสน (ม.บูรพาปัจจุบัน) จากหมู่บ้านเล็กๆ ริมทะเล เข้าสู่งานกิจกรรมค่ายอาสาพัฒนา

เริ่ม เข้าร่วมกับรุ่นพี่ (วิทยากร เชียงกูล) ภายในรั้วมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒบางแสน (ปัจจุบันคือ ม.บูรพา) และก้าวไปกับขบวนการประชาธิปไตย 14 ตุลา 2516 ขับไล่เผด็จการ "ถนอม -ประภาส-ณรงค์" 
               เขา เป็นบุตรคนที่ 2 ของตระกูลวัดหนู จากบรรดาพี่น้อง 8 คน เริ่มเรียนประถมที่โรงเรียนบ้านบางสะเหร่จนจบ ป. 7 และเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนชลชายกระทั่งจบ ม.ศ.5 และสอบเอ็นซ์ทรานเข้า ม.ศรีนครินทรวิโรฒน์ วิทยาเขต บางแสน หรือ ม.บูรพาในปัจจุบัน ในสาขาเอกฟิสิกส์ – คณิตศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์และจบการศึกษาภายใน 4 ปี ปี 2518 เขาเพิ่งจบศึกษาศาสตร์บัณฑิต และเป็นอาจารย์สอนโรงเรียนช่างกล พระราม 6 และมีบทบาทสำคัญในฐานะแกนนำ "แนวร่วมอาชีวะเพื่อประชาธิปไตย" ป้องกันกำลังจัดตั้งนักเรียนอาชีวะของฝ่ายขวาจัด   หลังถูกปราบปราม 6 ตุลา 2519...ถูกสถานการณ์กดดันให้ต้องหนีเข้าป่า ไปประจำเขตงานทางใต้ (สุราษฏร์-ชุมพร) ใต้ร่มเงาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย นานถึง 8 ปี 
 หลัง ออกจากป่า เมื่อปี 2528 เข้าทำงานกับมูลนิธิดวงประทีป ต่อมาปี 2532 จนกระทั่งปัจจุบัน ทำงานอยู่กับมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย เริ่มตั้งแต่เจ้าหน้าที่, เลขาธิการ และกรรมการมูลนิธิฯ  เคยเป็น เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย(ครป.) ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน, ที่ปรึกษาเครือข่ายสลัม 4 ภาค และเลขาธิการเครือข่ายคนเดือนตุลา และมีบทบาทขับไล่เผด็จการในเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ในปี 2548 ได้รับเลือกจากมูลนิธินิปปอน(ญี่ปุ่น) ให้เป็น "ปัญญาชนสาธารณะแห่งเอเชีย"
 กระทั่ง เที่ยงคืนของวันที่ 12 มี.ค. 2550 เราได้สูญเสียบุคลากรคนสำคัญต่อกระบวนการประชา
ธิปไตย และการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคมไปอีกคน บทบาทของเขาในฐานะนักเคลื่อนไหวคนสำคัญของขบวนการภาคประชาชน หลายครั้งที่มีการชุมนุมทางการเมืองหรือการชุมนุมเรียกร้องของเครือข่ายสลัม 4 ภาคหรือ“คนจนเมือง” สุวิทย์ วัดหนู มักเป็นกลไกสำคัญของการเชื่อมร้อยประสานพลังเพื่อต่อรองกับรัฐ
              ตลอด ระยะเวลากว่าค่อนชีวิต สุวิทย์ทุ่มเทแรงกายแรงใจเข้าสู่การงานอันหลากหลายโดยมีแกนหลักทางความคิด ความเชื่อที่ว่าสังคมที่ดีงามจะเกิดขึ้นได้ด้วยการให้ความเป็นธรรมแก่กัน อย่างเสมอหน้า แม้ว่าในแต่ละช่วงชีวิต วิธีการในการต่อสู้ของเขาจะปรับเปลี่ยนไปตามบริบทและเหตุปัจจัยรอบข้างมาก น้อยเพียงใดก็ตาม
              ในช่วงวัยหนุ่ม เขาเป็นแกนนำนักศึกษาจากทิศบูรพาที่เหมารถเข้าร่วมเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ 14 ตุลา เมื่อเติบโตขึ้นอีกเข้าสู่ช่วงการทำงาน ความโดดเด่นทางการเมืองของเขาทำให้ต้องลี้ภัยเข้าร่วมขบวนการต่อสู้ด้วย กำลังอาวุธกับรัฐบาลเผด็จการ หลังจากนั้น จังหวะของชีวิตนำพาเขาออกจากป่าเพื่อเผชิญการต่อสู้ด้วยแนวทางสันติวิธี เพื่อสิทธิที่อยู่อาศัยของคนชั้นล่างในเมือง ตลอดจนเคลื่อนไหวทางการเมืองภาคประชาชนอย่างเข้มข้นจวบจนวินาทีสุดท้ายของ ชีวิต              
ช่วง เวลาในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้นี่เอง ที่หล่อหลอมวัยหนุ่มของเขาให้มุ่งมั่นในแนวทางการทำงานเพื่อส่วนรวม เขาได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกสโมสรนิสิต ในปี 2514 ท่ามกลางกระแสดอกไม้บานของหนุ่มสาวเสื้อขาวและบรรยากาศทางการเมืองของเผด็จ การทหารที่กดทับสังคมไทยมาเป็นเวลาเนิ่นนาน เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองเข้าสู่สภาวะที่สุกงอม การชุมนุมใหญ่ที่ธรรมศาสตร์ในเดือนตุลาปี 2516 เริ่มต้นขึ้น
เขา และเพื่อนนักศึกษาจากทิศตะวันออกก็เคลื่อนขบวนเข้าเสริมขบวน.ในทันทีและมี บทบาทอย่างสำคัญในการเคลื่อนไหวในเหตุการณ์ที่เรียกกันว่า “14 ตุลา”
              หลัง จบการศึกษา ด้วยวุฒิปริญญาตรี เขาทำงานเป็นอาจารย์วิทยาลัยช่างกลพระราม6ในช่วงเวลาสั้นๆไม่กี่ปี ก่อนที่จะถูกกดดันจนต้องลี้ภัยการเมืองเข้าสู่แนวป่าที่ภาคใต้ในปลายปี 2518 เพื่อจับปืนร่วมรบกับ พคท. ที่เขตงานสุราษฎร์ธานี ด้วยหวังว่าแนวทางนี้จะสามารถสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้คนในสังคมได้ เขายังเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เข้าขยายเขตงานของ พคท.ที่ชุมพรในระยะเวลาสุดท้ายของสงครามกลางเมืองครั้งนั้น
              เขา เคยเล่าในเวลาต่อมาว่า การตัดสินใจเข้าป่าในครั้งนั้น นอกจากจะเพื่อหลีกเร้นจากกระบวนการปราบปรามจับกุมแกนนำประชาชนและนักศึกษา ที่มีบทบาททางการเมืองจำนวนมากแล้ว ยังมีเจตนาเพื่อประกันความปลอดภัยของครอบครัวของเขาเอง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะผิดหวังกับการต่อสู้ที่สิ้นสุดลง แต่ประสบการณ์พิเศษครั้งนั้นยังอยู่ในความทรงจำของเขาตลอดมา
              สุ วิทย์ใช้เวลาต่อสู้ในแนวทางจับปืนสู้ด้วยอาวุธเป็นเวลาประมาณ 8 ปี ก่อนออกจากป่ามาในช่วงประมาณปี 2526 - 2527 โดยที่ไม่ได้มอบตัวกับทางการ เขากลับมาปรับตัวและใจเข้าสู่วิธีชีวิตคนเมืองอยู่พักใหญ่ เริ่มแรกเขาทำงานหลายอย่างจากความช่วยเหลือของเพื่อนพ้องน้องพี่ ทั้งงานหนังสือพิมพ์ ร้านอาหาร รวมไปถึงการทำสวนที่ชุมพร หลังจากทำงานอยู่พักใหญ่เขาก็กลับเข้ากรุงเทพตามคำเชิญชวนของครูประทีป อึ้งทรงธรรม ให้ทำงานร่วมกับมูลนิธิดวงประทีปเมื่อประมาณปี 2530
              และ นั่นคือก้าวแรกของการได้กลับมาร่วมงานกับองค์กรพัฒนาเอกชน เพื่อเติมเต็มอุดมคติเพื่อส่วนรวมของเขาอีกครั้ง สุวิทย์เริ่มเข้าสู่สายงานชุมชนเมืองด้วยโครงการเขตปลอดยาเสพติดในชุมชน คลองเตย และมีโอกาสเห็นภาพการทำงานร่วมกับชาวชุมชนของมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย (มพศ.) เขาจึงโยกตัวเองเข้าสู่การทำงานในองค์กรแห่งนี้เรื่อยมาจนถึงวาระสุดท้ายของ ชีวิตในวัย 54 ปี
              
อาจกล่าว ได้ว่า สุวิทย์ เป็นหนึ่งในนักพัฒนายุคแรกๆ ที่เกาะติดประเด็นของ “คนจนเมือง” มาโดยตลอด และร่วมต่อสู้ในฐานะ “พี่เลี้ยง” ของชาวชุมชนเพื่อให้ตระหนักถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนในสังคมประชาธิปไตยและ สิทธิที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี ตลอดจนสิทธิในที่อยู่อาศัยที่ประชาชนในรัฐพึงได้รับ นอกจากนี้ อีกด้านหนึ่งสุวิทย์ยังเป็นนักพัฒนาที่เกาะติดกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยมุ่งหวังถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ประชาชนมีสิทธิมีเสียงอย่างแท้จริง
              จึง ไม่แปลกอะไรเลย ที่เราจะเคยเห็นภาพเขาอยู่ท่ามกลางการการเคลื่อนไหวของชาวสลัมในนามของเครือ ข่ายสลัม 4 ภาคและสมัชชาคนจน การเคลื่อนไหวเพื่อคัดค้านการไล่รื้อชุมชนแออัด รวมไปถึงการเคลื่อนไหวผลักดันในระดับโครงสร้างอย่างการผลักดัน พ.ร.บ.ชุมชนแออัด ภาคประชาชน หรือแม้แต่การเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างกรณีพฤษภาทมิฬปี 2535 และการผนึกกำลังไล่ทักษิณปี 2549 ซึ่งเขารับหน้าที่โฆษกของเวทีของเหตุการณ์ทั้งสอง
              ในบทบาท ของนักพัฒนา เขายังมีส่วนร่วมในการก่อรูปของขบวนชาวบ้านดังกรณีเครือข่ายสลัม 4 ภาค และสมัชชาคนจนในฐานะที่ปรึกษา เขายังเป็นหนึ่งในกรรมการ ครป.มาตั้งแต่ยุคพฤษภาทมิฬและเป็นเลขาธิการในห้วงปี 2543 – 2545 ในขณะที่ยังเป็นเลขาธิการ มพศ.มาเป็นระยะเวลาหลายปี นอกจากนี้ เขายังเคยเป็นเลขาธิการเครือข่ายเดือนตุลา อันเป็นองค์กรเครือข่ายของเพื่อนพ้องคนเดือนตุลา
       จึงไม่แปลกอะไร เลย ที่เราจะเคยเห็นภาพเขาอยู่ท่ามกลางการการเคลื่อนไหวของชาวสลัมในนามของเครือ ข่ายสลัม 4 ภาคและสมัชชาคนจน การเคลื่อนไหวเพื่อคัดค้านการไล่รื้อชุมชนแออัด รวมไปถึงการเคลื่อนไหวผลักดันในระดับโครงสร้างอย่างการผลักดัน พ.ร.บ.ชุมชนแออัด ภาคประชาชน หรือแม้แต่การเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างกรณีพฤษภาทมิฬปี 2535 และการผนึกกำลังไล่ทักษิณปี 2549 ซึ่งเขารับหน้าที่โฆษกของเวทีของเหตุการณ์ทั้งสอง
"การ สูญเสียสุวิทย์หมายถึงสูญเสียแนวทางพรรคการเมืองแบบอุดมคติ แบบสังคมนิยมไปด้วย เพราะการที่จะตั้งพรรคการเมืองขึ้นได้ต้องยอมรับว่าต้องมีคนที่เชื่อใน เรื่องนี้พอสมควร และคนที่จะนำให้คนอื่นมีความเชื่อเรื่องนี้อยู่ในใจและแสดงตัวตนออกมาในที่สาธารณะ  ต้องมีคนแบบสุวิทย์เป็นคนนำ" (พิภพ ธงไชย)
การ ก่อเกิดของพรรคใหม่ ในเบื้องต้น สุวิทย์และมิตรสหาย ได้ประมวลภาพร่างของ 'พรรคการเมืองภาคประชาชน' ไว้ดังนี้ อุดมการณ์และทิศทางของพรรค : พรรคมีเป้าหมายที่จะดำเนินกิจกรรมไปสู่การสร้างสรรค์สังคมแห่งเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ  
ลักษณะของพรรค พรรคมีลักษณะสำคัญ 4 ประการ คือ
พรรค ประชาชาติ กล่าวคือ พรรคจะยึดมั่นในผลประโยชน์ของกรรมกร ชาวนา และคนจนเมือง ควบคู่ไปกับการประสานความร่วมมือกับนักวิชาการ ปัญญาชน สื่อมวลชน นักธุรกิจระดับเล็ก ระดับกลาง และระดับชาติ ไม่ใช่กลุ่มทุนผูกขาดข้ามชาติ
พรรคมวลชน กล่าวคือ พรรคจะมุ่งเน้นการจัดระบบบริหารองค์กรแบบความสัมพันธ์เชิงแนวราบ ควบคู่ไปกับการสร้างเอกภาพในแนวดิ่ง
 พรรคเคลื่อนไหว กล่าวคือ พรรคจะมุ่งเน้นการสร้างพรรคเพื่อเป็นศูนย์กลางการประสานกลุ่มพลังทางสังคม เสนอทางออก และแนวนโยบายต่อสังคม
พรรคคุณธรรม กล่าวคือ พรรคจะยึดมั่นในจริยธรรมอย่างเคร่งครัดในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง
นอก จากนี้ พรรคยังมีนโยบายเฉพาะหน้า 10 ข้อ ที่วางกรอบใหญ่ๆ เอาไว้ อาทิ คัดค้านระบบทุนนิยมเสรี ที่สร้างความทุกข์ยากให้กับคนยากจน เกิดความเหลื่อมล้ำอย่างรุนแรงของกลุ่มคนในสังคม ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจพึ่งพิงตนเอง เชื่อมประสานกับระบบการค้าระหว่างประเทศที่เป็นธรรม หรือนโยบายภาคชนบทที่ต้องการปฏิรูประบบสหกรณ์ มุ่งเน้นส่งเสริมเกษตรอินทรีย์

จาก พิมพ์เขียวพรรคใหม่ข้างต้น ดูเหมือนว่าไฟฝันของนักสู้สามัญชน ยังลุกโชน มิได้มอดดับไปเช่นไฟศรัทธาบนป่าเขา และในวันที่พรากจากมิตรสหายไป สุวิทย์เพิ่งกลับมาจากการพูดคุยเรื่องปัญหาหนี้สินเกษตรกร ซึ่งกลุ่มเกษตรกรภาคกลางจัดขึ้นที่นครปฐม นับจากนี้ไป ก็ติดตามดูเส้นทางพรรคการเมืองภาคประชาชน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สุเวศน์ ภู่ระหงษ์ ศิลปินประชาชน

เรื่องที่น่าสนใจของกลุ่มศิลปะ ดนตรี กวีประชาชน

ความเห็นต่อ กลุ่มศิลปะ ดนตรี กวีประชาชน