นักจัดตั้งผู้ยิ่งใหญ่ โดย กรุณา บัวคำศรี
(ว่าด้วยความทรงจำและการระลึกถึง)
กรุณา บัวคำศรี อดีตกบฏไอทีวี
ปรกติดิฉันจะหลีกเลี่ยงไปงานศพ เพราะงานศพเป็นงานที่ทำให้เรารู้สึกหดหู่ อยากจะร้องไห้
ดิฉันยกให้งานศพของพี่สุวิทย์เป็นข้อยกเว้น
งานนี้มีความพิเศษอยู่หลายประการ อย่างแรกค่อ ผู้คนเยอะมาก จนแม้กระทั่งการเข้าไปถึงที่ตั้งของศพก็ยังทำได้ลำบาก
ดิฉันนั่งอยู่ด้านหลังสุดของงาน คอยสังเกตและพูดคุยกับคนที่ไปร่วมในงานคืนนั้นระหว่างรอให้ผู้คนเบาบางลงเพื่อเข้าไปเคารพศพ
เคยมีคนบอกดิฉันว่า วิธีการรู้จักคนๆหนึ่งให้ดีขึ้น อยากรู้ว่าเป็นคนแบบไหน ให้ไปดูที่งานศพของคนๆนั้นว่ามีใครมาบ้าง
งานนั้นมีคนจากทุกภาคส่วนของสังคมที่ดิฉันพอจะนึกออก มีตั้งแต่ชาวบ้านธรรมดา พ่อค้าแม่ค้าแถวบางเสร่บ้านแก เพื่อนพี่น้องอดีตคอมมิวนิสต์ ผู้ใช้แรงงาน พี่น้องจากสลัม นักวิชาการ นักข่าว ข้าราชการ นักการเมือง จนถึงอดีตนายกรัฐมนตรี
พี่สุวิทย์เป็นคนของสังคมแบบตัวจริงของจริง
ดิฉันรู้จักพี่สุวิทย์ครั้งแรกเมื่อ 16 ปีที่แล้ว ตั้งแต่ดิฉันยังเป็นนิสิตอยู่ที่จุฬาฯ ช่วงนั้นเป็นเวลาที่การเมืองกำลังเปลี่ยนผ่านเพราะยังอยู่ในช่วงการรณรงค์ต่อต้านทหารที่ยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเอกชาติชาย ก่อนที่จะนำมาสู่เหตุการณ์นองเลือดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2535
ดิฉันในฐานะตัวแทนขององค์กรนักศึกษา ต้องทำหน้าที่ประสานงานกับทุกภาคส่วนในการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยคราวนั้น จึงเป็นช่วงเวลาที่ได้รู้จักกับแกนนำ ผู้นำของกลุ่มต่างๆ ซึ่งรวมถึงพี่สุวิทย์ซึ่งเป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มองค์กรสลัม การร่วมต่อสู้และร่วมเป็นร่วมตายในภาวะวิกฤติ เป็นสิ่งที่ทำให้ดิฉันผูกพันเป็นพิเศษกับคนหลายคน รวมถึงพี่สุวิทย์ เป็นความผูกพันของคนร่วมอุดมการณ์ และความผูกพันของพี่ชายกับน้องสาว
ความเป็นเด็กสุดของคนในขบวนการขณะนั้น ทำให้ดิฉันได้รับความเมตตาและเอ็นดูเป็นพิเศษจากพี่สุวิทย์ พวกเราเจอกันบ่อยมาก ไม่ว่าจะเป็นในเวทีที่คุยกันอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ดิฉันจำได้ว่า มักจะถูกพวกๆพี่ๆลากไปวงคุยแบบไม่เป็นทางการอยู่บ่อยๆ นั่นก็คือ วงเหล้า โอกาสแบบนั้นคือ โอกาสที่พี่ๆ รวมถึงพี่สุวิทย์จะได้เล่าประสบการณ์การต่อสู้ในอดีต เล่าถึงสิ่งที่ตัวเองคิดฝันในปัจจุบันให้ฟัง ซึ่งดิฉันเดาเอาว่า ที่พี่ๆทำแบบนั้นก็เพื่อให้ดิฉันซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่ประสีประสากับเรืองการเมืองและสังคม แต่มีภาระที่ต้องรับผิดชอบงานสำคัญบางอย่าง ได้ซึมซับอะไรบางอย่างหรือเข้าใจอะไรบางอย่างได้ดีขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ค่อนข้างแหลมคม
ดิฉันก้ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง เพราะชอบหลับๆตื่นๆในวงเหล้า
แต่พี่สุวิทย์ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ การให้คนรุ่นหลังได้เข้าใจถึงประวัติศาสตร์ ความจำเป็น และวิธีการของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเป็นเรื่องที่จำเป็น ซึ่งเป็นสิ่งที่พี่สุวิทย์ได้ทำมาตลอด จนมีพี่ๆบางคนแซวว่า พี่สุวิทย์พยายามจัดตั้งดิฉัน
เราผ่านเวทีร้องเรียนด้วยกันมาหลายเวที จนกระทั่งถึงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ วันที่สลดหดหู่ที่สุดวันหนึ่งของชีวิต วันที่พี่ๆ น้องๆทุกคนยืนสู้อยู่ด้วยกัน
ดิฉันห่างจากพี่สุวิทย์ไปหลังจากที่ไปเรียนต่อต่างประเทศ เมื่อกลับมาก็มีเหตุที่ต้องทำงานที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอกัน ดิฉันกลับมาทำงานด้านข่าว ในขณะที่พี่สุวิทย์ยังยืนหยัดทำงานในภาคสังคม ถึงแม้เราจะไม่มีโอกาสเจอกันอีกเลย แต่ดิฉันก็รับทราบข่าวพี่สุวิทย์อยู่เสมอๆ โดยเฉพาะในยามที่การเมืองมีปัญหาและต้องมีการออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย
ดิฉันอยากจะคิดเข้าข้างตัวเองว่า พี่สุวิทย์ก็รับรู้ถึงความเป็นไปของน้องสาวคนนี้อยู่เสมอ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เจอกัน และอยากจะคิดด้วยว่าพี่ภูมิใจในสิ่งที่เด็กผู้หญิงที่ชอบหลับๆตื่นๆข้างวงเหล้าของพี่ทำและเป็นอยู่ในขณะนี้ เพราะมันคือผลผลิตจากการจัดตั้งของพี่
ขอจบด้วยความพิเศษอีกประการของงานศพพี่สุวิทย์ นั่นก็คือ เป็นงานที่ไม่มีคนร้องไห้ ปรกติแล้วดิฉันเป็นพวกบ่อน้ำตาตื้น นั่งอยู่ในงานศพร่ำๆจะร้องไห้หลายหน เผอิญมีรุ่นพี่ที่เคยทำกิจกรรมคนหนึ่งซึ่งมีโอกาสใกล้ชิดพี่สุวิทย์ในช่วงสุดท้ายของชีวิตเดินเข้ามาคุย พี่คนนั้นเล่าให้ฟังว่า พี่สุวิทย์เคยสั่งเสียว่า ถ้าตายไปขอให้เอาหมวกดาวแดงมาวางไว้หน้าศพแล้วก็ห้ามร้องไห้
ดิฉันกลั้นน้ำตาไว้ทัน นั่งขำๆพี่สุวิทย์ว่า แม้กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตแล้วยังมาจัดตั้งกันอีก
ขอคารวะดวงวิญญาณของพี่สุวิทย์ วัดหนู นักจัดตั้งผู้ยิ่งใหญ่
ที่มา สุวิทย์ วัดหนู นักรบประชา เคียงข้างคนจน
คณะจัดทำหนังสืออนุสรณ์แห่งชีวิต สุวิทย์ วัดหนู
วันที่ 20 ธันวาคม 2495 - วันที่ 11 มีนาคม 2550
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น